วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ

นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ

     The 7 Habits of Highly Effective People ประพันธ์โดย Steven Covey เป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างมากต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 15 ปี และถูกจำหน่ายไปแล้วกว่า 15 ล้านเล่ม ผู้แต่งได้กล่าวถึงนิสัย 7 ประการของผู้ที่ประสบความสำเร็จ แผนที่ในการดำเนินชีวิตเพื่อไปสู่ความสำเร็จ และวิธีการยกระดับคุณภาพจิตใจ เป็นต้น มีใจความสำคัญ ดังต่อไปนี้
     ก่อนที่จะกล่าวถึงนิสัยทั้ง 7 ประการ ผู้แต่งได้ให้แง่คิดว่ามนุษย์มีสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอยู่  3 อย่างคือ มีสามัญสำนึกรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีพลังจิต ดังนั้น การเอาใจใส่และหมั่นฝึกฝนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้จนกลายเป็นนิสัย จะทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ผู้แต่งได้กล่าวว่า กรอบในการมองโลก (paradigm) หรือนิสัยของคนเรานั้นส่วนใหญ่จะถูกปลูกฝังมาจากการสั่งสอนของคนรอบข้าง การใช้ชีวิตในสังคม และจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และด้วยความเคยชินทำให้คนเรานั้นไม่เคยฉุกคิดว่ามุมมองที่มีอยู่นั้นถูกต้องหรือเหมาะสมหรือไม่ จึงก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและไม่เข้าใจผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะเอาความคิดของตนเองเป็นตัวตัดสิน ดังนั้น ผู้แต่งจึงแนะนำให้หยุดทบทวนแนวความคิดมุมมองและคติธรรมในใจที่เคยยึดถือตลอดมาว่า สิ่งเหล่านั้นถูกต้องแล้วจริงหรือ ให้พิจารณาตามความเป็นจริง สิ่งไหนคิดผิดให้คิดใหม่แก้ไขที่ต้นเหตุ เมื่อเข้าใจตนเองจึงจะเข้าใจผู้อื่นได้ นอกจากนั้นผู้แต่งยังเชื่อว่าผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการมีสมองข้างขวาที่ทรงประสิทธิภาพสามารถควบคุมการทำงานของสมองด้านซ้ายได้ สมองข้างขวามีหน้าที่เตือนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี การมีจินตนาการ และการมีอารมณ์และความรู้สึก ดังนั้น การฝึกใช้จินตนาการและมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นการพัฒนาการทำงานของสมองด้านขวาได้เป็นอย่างดี    
     กฎข้อที่ 1. นิสัยรู้และเลือก (Be Proactive)
     การรู้และเลือกคือการมีสติตามตัวอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองกำลังทำอะไรอยู่ และผลที่เกิดจากการกระทำนี้คืออะไร  รู้ว่าขณะนี้ตัวเรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด สถานการณ์ปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้น มีผลอะไรต่อตัวเราบ้าง และเรามีการตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังเผชิญอย่างไร ตอบสนองด้วยกิริยาใดด้วยอารมณ์แบบไหน ปกติแล้วมนุษย์มีอารมณ์หลักอยู่สามอารมณ์คือ สุข ทุกข์ และเฉย ๆ หากเรารู้เท่าทันอารมณ์เราจึงจะรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ เมื่อรู้แล้วเมื่อเห็นแล้วจึงจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ คนเรามีสิทธิ์ที่จะกำหนดชีวิตของตนเองแต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามกระแสสังคม ถูกฉุดกระชากไปตามอารมณ์และการกระทำของผู้อื่น เช่นเมื่อได้รับคำชมก็ดีใจ ได้รับคำตำหนิก็เสียใจ หรือคนพูดไม่ได้ดั่งใจก็โกรธ เป็นต้น เราเอาพฤติกรรมของเราไปขึ้นกับการกระทำและความคิดของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา สรุปแล้วชีวิตนี้เป็นของใครกันแน่ ดังนั้น หากเรารู้จักเลือก รู้จักหยุดคิดก่อนที่จะตอบสนอง เราจึงจะมีชีวิตที่เป็นของเราจริง ๆ และจะเลิกโทษผู้อื่น เลิกโทษโชคชะตาเทวดาฟ้าดิน และจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง เมื่อนั้นจิตจึงจะนิ่งสงบไม่กระเพื่อมไปกับสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบ จิตจึงมีพลังสามารถทำการใหญ่ได้ การจะมีสติตามทันอารมณ์ได้นั้นจิตต้องมีความสงบหรือมีสมาธิในระดับหนึ่ง ซึ่งทำได้โดยการ การสวดมนต์ หรือทำสมาธิ เป็นต้น
     กฎข้อที่ 2. สร้างเป้าหมายในชีวิตเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ (Begin with the End in Mind)
     การมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ตอนนี้ อีก 5 ปี 10 ปี หรือในบั้นปลายชีวิตเราอยากจะมีชีวิตแบบใด  เมื่อมีเป้าหมายเราจะรู้ว่าตอนนี้ควรทำสิ่งใด  ตอนนี้กำลังยืนอยู่ตรงจุดไหน จะต้องไปอีกไกลเท่าไร และไปด้วยวิธีใดบ้างจึงจะบรรลุเป้าหมาย จะทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันมีคุณค่าและไม่น่าเบื่อ เป้าหมายจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมต่าง ๆ ของเรา เป้าหมายที่ดีจะต้องชัดและต้องสร้างเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจตลอดเวลาและการสร้างเป้าหมายต้องมาจากสิ่งที่เราชอบจริง ๆ ไม่ใช่ทำตามกระแสสังคม และที่สำคัญเป้าหมายนั้นต้องพอที่จะเป็นไปได้ นอกจากนั้นเป้าหมายในที่นี้ผู้แต่งยังหมายถึงภาพพจน์ที่เราต้องการให้คนอื่นจดจำเราได้นั้นเป็นแบบใด เช่นหากเราตายไปตอนนี้เราอยากให้ทุกคนจดจำเราได้ในแบบใด เป็นต้น
     กฎข้อที่ 3. ทำสิ่งที่ต้องทำก่อน (Put First Things First)
     การทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน จะต้องเลือกทำในสิ่งที่นำพาเราไปสู่เป้าหมายก่อนเป็นอันดับแรก และทำอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ตรงจุดไหน อีกไกลเท่าไร และเรามาถูกทางหรือไม่ มีเส้นทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นหรือเปล่า หรือเรากำลังเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้สาระ เป็นต้น ในการประเมินแต่ละครั้งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จะต้องซื่อสัตย์ ใช้สติ และไม่เข้าข้างตัวเอง นอกจากนั้นควรเลือกทำสิ่งที่ไม่เร่งด่วนแต่สำคัญในชีวิตก่อน คนส่วนใหญ่มักเลือกทำในสิ่งที่เร่งด่วนก่อนเสมอ โดยลืมนึกไปว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตหรือไม่ จงอย่าทำตามสิ่งที่สังคมกำหนด แต่ให้เลือกทำในสิ่งที่เรากำหนดเอง และผู้แต่งกล่าวเพิ่มเติมว่า การวางแผนทำสิ่งใดต้องวางแผนในระยะยาวอย่าวางแบบวันต่อวัน เพื่อจะได้งานเป็นกรอบเป็นกำ และต้องหัดมอบหมายงานให้กับคนที่ไว้ใจได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญและตรงตามเป้าหมายในชีวิตได้มากขึ้น
     กฎข้อที่ 4. การรู้จักแบ่งผลปันประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย (Think Win/Win)
     ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น คนในครอบครัว เจ้านายลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า เป็นต้น ทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน การไม่คิดถึงตัวเองแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง นั่นคือการรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้รู้ได้โดยการมองย้อนเข้าหาตัวเองว่าหากเป็นเราเจอแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร และนอกจากการเข้าใจผู้อื่นแล้วผู้แต่งได้กล่าวถึงบุคลิกลักษณะที่น่าคบหาสมาคมและน่าเชื่อถือคือต้องปากกับใจตรงกัน รู้จักรักษาคำพูด มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคง สงบนิ่ง ใจกว้าง และมองโลกในแง่ดี และที่สำคัญในฐานะผู้บริหารหากต้องการให้คนในองค์กรได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ควรจะจัดระบบขึ้นมารองรับ เช่นคนที่ตั้งใจทำงานก็ควรจะมีรางวัลหรือโบนัส เป็นต้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและทุกฝ่ายในองค์กรได้รับประโยชน์เท่ากันอย่างแท้จริง
     กฎข้อที่ 5. การพยายามเข้าใจผู้อื่นมากกว่าให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา (Seek First to Understand, Then to Be Understood)
     ส่วนใหญ่แล้วมนุษย์มักชอบพูดให้ผู้อื่นฟังมากกว่าฟังที่คนอื่นพูด ดังนั้น เมื่อไม่มีใครยอมฟังใครปัญหาจึงเกิดขึ้น การฟังอย่างตั้งใจและพยายามที่จะเข้าใจผู้อื่นแทนที่จะให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา อีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจจากเรา และเกิดความผ่อนคลายลงในระดับหนึ่งและจะยอมรับฟังความคิดเห็นจากเราด้วยในที่สุด การเป็นผู้ฟังที่ดีและพยายามที่จะเข้าใจอีกฝ่าย เช่น ขณะนั้นเขารู้สึกอย่างไร และเขาพูดไปเพื่ออะไร เป็นต้น จะทำให้มองเห็นประเด็นของปัญหาได้อย่างชัดเจนและสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด แต่ผู้แต่งได้ให้ข้อคิดไว้ว่า การฟังนั้นต้องฟังอย่างมีสติ อย่าฟังจนเคลิ้มและต้องมีจุดยืนในตัวเองด้วย ผู้แต่งได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจจะช่วยลดอคติที่มีต่ออีกฝ่ายได้และจะไม่เกิดการตัดสินคนจากคำพูดเพราะขณะนั้นจิตใจจะมีความเมตตาไม่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ นอกจากนั้นหากต้องการพูดแสดงความเห็นอกเห็นใจ ก่อนพูดควรถามความรู้สึกของตนเองก่อนว่าในเวลานี้ควรพูดหรือไม่ ควรพูดแค่ไหน และควรพูดอย่างไรจึงจะเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง
     กฎข้อที่ 6. การสร้างทีมเวิร์ค (Synergize)
     การสร้างทีมเวิร์คให้เกิดขึ้นภายในองค์กรเป็นหน้าที่ของผู้บริหารคือการดึงเอาศักยภาพของลูกน้องแต่ละคนมาผสมผสานกันอย่างลงตัว และสามารถเปลี่ยนความขัดแย้งให้กลายเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ได้ ในฐานะผู้บริหารต้องมองปัญหาและการทะเลาะเบาะแว้งให้เป็นเรื่องปกติ แต่ให้คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นผลงานได้ นอกจากนั้น การบริหารลูกน้องจำนวนมาก ๆ จะใช้วิธีเดียวกันหมดไม่ได้เพราะแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ในฐานะเจ้านายจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะรู้ได้ว่าคนไหนต้องใช้วิธีใดก็ต้องเริ่มจากการรู้จักตนเองก่อนเมื่อรู้จักตนเองจึงจะรู้จักผู้อื่น และต้องพยายามเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไรด้วย จึงจะสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการได้อย่างทันท่วงที ผู้แต่งได้ให้ข้อคิดในการทำงานเป็นทีมคือ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความถ่อมตน จงคิดว่าทุกคนย่อมมีข้อดีในแต่ละด้าน ไม่มีใครดีกว่าใคร หากคิดเช่นนี้อัตตาตัวตนก็ไม่เกิด การทำงานเป็นทีมจึงจะสมบูรณ์ 

     กฎข้อที่ 7. การเพิ่มพลังชีวิต (Sharpen the Saw)
     ว่าด้วยวิธีการพักจิต และเพิ่มพลังเพื่อพร้อมที่จะต่อสู้กับชีวิตต่อไป มีวิธีการ ดังนี้
          1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์    
          2. หัดสร้างมโนภาพอยู่ตลอดเวลา ต้องอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้
          3. มีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
          4. เข้าใจและรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ แลสร้างความสงบภายใน
     จากนิสัยแห่งความสำเร็จทั้ง 7 ประการ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สามารถสรุปเป็นใจความสั้น ๆ ได้ว่า Steven Covey ให้ความสำคัญในเรื่องการใช้สมองข้างขวา การใช้จินตนาการ การมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การมีหลักคุณธรรมในการดำรงชีวิต และการสร้างแผนที่ชีวิต

                               *****************




วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

National E-Payment จะเปลี่ยนชีวิตคนไทย.



นี่เป็นอีกหนึ่ง ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ผู้บริหารฝากมาให้ พวกเรา อ่าน ลองอ่านและ ลองนำมาใช้ประโยชน์ในการปรัปเปลี่ยนตัวเราดูครับ โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนให้ทันโลกครับ


เคยไหม? เวลาเดินทางไปฮ่องกงหรือสิงคโปร์ แล้วเห็นคนของเขาใช้ชีวิตที่ทันสมัย เวลาซื้อของหรือขึ้นรถไฟฟ้าก็จ่ายด้วยบัตร(เดบิต) ชีวิตง๊ายง่ายคุณรู้ไหมเมืองไทยเราก็กำลังจะเป็นอย่างนั้น ด้วยนโยบาย National E-Payment ที่ผ่านการเห็นชอบของรัฐบาลแล้วตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2558 (อ้างอิง thaigov.go.th)

Cashless Society กำลังจะเกิดขึ้น

ปัจจุบัน เงินสดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของธุรกรรมทางการเงินของไทย ซึ่งความเป็นจริงมีต้นทุนซ่อนเร้นอยู่จำนวนมาก เช่น ร้านค้าเมื่อรับชำระเป็นเงินสดแล้วก็เป็นช่องทางให้ พนักงานทุจริตได้ (แอบเอาเงินใส่กระเป๋า) หรือเมื่อนำเงินไปส่งธนาคาร ธนาคารก็มีต้นทุนจ้างพนักงานคอยรับเงิน นับเงิน ตรวจแบงค์ปลอม เก็บและนำส่งกลับจากสาขา เคยสงสัยไหมว่า ค่าขนเงินสดด้วยรถนิรภัยใครเป็นคนจ่าย? เมื่อขนกลับมายังต้องคัดทำลายแบงค์เก่า และพิมพ์แบงค์ใหม่อีก ไม่งั้นจะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคได้นะ
ใครกันหนอ จ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้ คำตอบคือ พวกเราทุกคนนั่นแหล่ะ

เพราะอย่างนี้เองที่ทุกฝ่ายอยากผลักดันให้เราปรับเป็น Cashless Society คือสังคมที่ใช้เงินสดน้อยลง นั่นคือ ปรับไปใช้บัตรเครดิต, บัตรเดบิต, และแอปบนมือถือ ให้ทำธุรกรรมทางการเงินได้ทดแทนเงินสด

ภาครัฐเอาจริงผ่าน 5 โครงการหลัก
ความชัดเจนของภาครัฐมีมาอย่างต่อเนื่องผ่าน 5 โครงการ อันประกอบด้วย
1. Any ID ที่ให้ประชาชนใช้บัตรประชาชนผูกกับบัญชีธนาคารและ
ทำธุรกรรมได้ หรือผูกกับเบอร์โทรศัพท์และอีเมล์ก็ได้

2. เพิ่มเครื่องรับบัตร EDC ตามร้านค้าต่างๆ จาก 3 แสนเครื่องเป็น 2 ล้านเครื่องภายในปี พ.ศ. 2560 (ซึ่งจะเริ่มล็อตแรกตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2559 นี้แล้ว)

3. ระบบภาษีอิเล็คโทรนิกส์ของกรมสรรพากร ที่จะส่งเสริม และ/หรือ บังคับ ให้ทุกธุรกิจต้องมีทางเลือกการรับชำระแบบ e-Payment และส่งข้อมูลโดยตรงให้กับกรมฯ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของงานเอกสารไปได้มาก

4. บังคับการรับชำระของภาครัฐด้วย e-Payment แทนเงินสด เช่น การชำระค่าใบขับขี่ ที่อาจไม่อนุญาตให้จ่ายด้วยเงินสดเลย แต่ต้องจ่ายผ่านบัตร National Debit Card เท่านั้น

5. โครงการประชาสัมพันธ์ให้เกิดการรับรู้และเข้าใจ และส่งเสริมให้เกิดการใช้งานจริง เช่น รณรงค์ผ่านการชิงโชคเมื่อมีการชำระด้วย e-Payment ต่างๆ

ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในขั้นกำหนดรายละเอียดและแก้ไขกฎหมาย
ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนหรือคนค้าขายจะเริ่มเห็นผลได้ ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป

Fintech หรือ บัตร Debit Card อะไรจะมาก่อนกัน
เมื่อเงินสดจะถูก(บังคับ)ให้ใช้น้อยลง แล้วอะไรกันแน่ที่จะมาแทน ถ้าคุณไม่ได้ติดตามข่าวสารก็คงจะคิดว่า ต้องเป็นบัตรเครดิตแน่ๆเลย … “ผิด อย่างยิ่งเลยครับเพราะบัตรเครดิตนั้นก็มีต้นทุนแอบแฝงเช่นกัน เพราะจะมีค่าบริการส่วนหนึ่งที่ถูกหักหัวคิวไปให้
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบัตรเครดิต ปีๆหนึ่ง หลายพันล้านบาท
ภาครัฐและธนาคารจึงกำลังผลักดันไปสู่ บัตรเดบิตซึ่งคาดว่าจะประกาศความร่วมมือเรื่อง
National Debit Card กันเร็วๆนี้ และเปิดกว้างให้บัตรเดบิตนี้เชื่อมโยงการชำระต่างๆ  เข้าด้วยกัน เช่น ค่าสาธารณูปโภค, ค่าเดินทาง, และร้านค้าทั่วไป เรียกได้ว่า บัตรเดียวเอาอยู่แม้แต่เทคโนโลยีที่ถูกเลือกใช้ที่เป็น Chip-and-Pin ก็เป็นส่วนที่ช่วยป้องกันปัญหาการทุจริต หรือ การลักขโมยได้ด้วย นำไปสู่ค่าบริการที่จะถูกลงอีก

อะไรก็ดีไปหมด แต่เดี๋ยวก่อน… Fintech ก็จะมาเบียดเช่นกัน ทั้งธนาคารและ Fintech Startup ก็กำลังแข่งกัน (หรือร่วมมือกัน) ออกแอป e-Wallet ที่ใช้โทรศัพท์แทนกระเป๋าเงินไปเลย เรียกได้ว่ากระโดดข้ามบัตรเดบิตไปอีกขั้นเลย จะโอนเงินก็ง่าย จะจ่ายก็แค่เอามาทาบที่เครื่องอ่าน NFC ก็ทำได้

เอาเป็นว่า ถ้าเด็กที่เกิดมาหลังจากปี พ.ศ. 2562 อาจแทบไม่เคยใช้เงินสดกันเลยก็ได้ และคงมาถามพ่อแม่ว่า เงินสดคืออะไรคับ

E-Payment เปลี่ยนชีวิตคุณในปีนี้แน่ๆ
กลางปี พ.ศ.2559 จะเห็นร้านค้าจำนวนมากมีเครื่องรับชำระเงิน EDC และประชาชนจะถูกรณรงค์ให้มีบัตรเดบิต และได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เมื่อชำระเงินด้วยบัตรเดบิตหรือบัตรประชาชน ส่วนภาครัฐเองก็มีช่องทางการช่วยเหลือประชาชน ผู้ยากไร้ได้โดยตรง โดยโอนเงินเข้าไปที่บัตรประชาชน เช่น เมื่อมีภัยแล้งก็โอนเงินให้ชาวนาได้โดยตรง (ชาวนาไม่ต้องมีบัญชีธนาคารก็ได้) ซึ่งจะช่วยขจัดการทุจริตของเส้นทางการจ่ายไปได้ด้วย หรือ คนทำงานเมื่อขอคืนภาษีก็จะได้รับเงินมาที่บัตรประชาชน ตามโครงการ Any ID เช่นกัน


คนเหล่านี้เลือกได้ที่จะโอนเงินออกจากบัตรทันที หรือเก็บเงินไว้แล้วนำไปใช้จ่ายตามร้านค้าต่างๆ ที่มีเครื่อง EDC กว่า 2 ล้านเครื่องทั่วประเทศ ไม่ว่าจะไปซื้อปุ๋ย ซื้อของร้านโชว์ห่วย หรือซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้างก็ตาม และธุรกรรมทั้งหมดก็ถูกส่งโดยอัตโนมัติเป็น ข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ไปที่กรมสรรพากรโดยตรง บริษัทห้างร้านต่างๆไม่ต้องส่งเอกสารที่เป็นกระดาษให้ยุ่งยาก และสิ้นเปลือง หรือจะนำเงินนั้นมาจ่ายเมื่อไปธุรกรรมกับภาครัฐก็ได้ เช่น เมื่อไปขอใบรับรองบริษัท หรือธุรกรรมอื่นใด

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

จัดสมดุลให้กับชีวิตอย่่างไร

ชีวิตเหมือนการโยนลูกบอลห้าลูก งาน ครอบครัว สุขภาพ  เพื่อน จิตวิญญาณ คุณจะโยนลูกบอลทั้งห้าให้ลอยในอาศ คุณจะเริ่มเข้าใจว่าลูกบอลงานเป็นบอลยาง หากพลาดตกหล่นพื้นก็เด้งกลับมาได้ แต่ อีก 4 ลูกที่เหลือ ครอบครัว สุขภาพ เพื่อน จิตวิญญาณ เป็นลูกแก้ว เราโยนแล้วรับไม่ได้ตกกระทบพื้น ลูกแก้วเป็นรอยขีดข่วน รอยบิ่น หรือไม่ก็แตกกระจาย ไม่เหลือสภาพเดิมอีกต่อไป คุณต้องเข้าใจเรื่องนี้ และพยายามสรรหาความสมดุลให้กับลูกบอลทั้งห้าในชีวิตท่าน

ไบรอัน ไดสัน (อดีตรองประธาน โคคาโคลา)

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สิ่งที่ชายแตกต่างกับหญิง



หญิงกับชายมีความแตกต่างกันไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นมีหลายสิ่งที่แตกต่างกันทั้งด้านอารมณ์และความคิด มีการวิจัยว่าหญิงและชายต่างกัน สมองของผู้ชายจะใหญ่กว่าผู้หญิง  10 %  ไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้คิดประมวลผลได้ทีละงาน สามารถทำงานที่มีความละเอียดสูง ซึ่งต่างกับหญิงมีสมองทั้ง 2 ซีก จะทำงานควบคู่กันเสมอ โดยมีแผงเส้นใย ( Fibers ) ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าสมองทั้ง 2 ซีก เรียกว่า คอร์ปัส คอลโลซั่ม ( Corpus Collosum )สมองทั้งสองซีกของผู้หญิงจะทำงานประสานกันได้มากว่าผู้ชาย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีอารมณ์ความรู้สึกที่ไวต่อคำพูดที่เธอได้รับ และรู้สึกมีความหมายต่อพวกเธออย่างมาก แม้พวกเธอได้ยินเพียงคำสั้นๆ แต่ก็พร้อมทำให้เธอกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ จนน้ำตาไหล ซึ่งแตกต่างจากพวกผู้ชายที่ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์เหล่านั้นของพวกเธอ ทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน แต่ไม่สามารถมองเห็นภาพรวมได้  และสามารถรับรู้ทางอารมณ์ สามารถรับผิดชอบงานที่มีความละเอียดได้ดี ซึ่งทำให้แตกต่างกันดังนี้


  1. ผู้ชายมีการรับรู้ได้ทิศทางได้ดีกว่า 
  2. ผู้ชายมีความแข็งแรงกว่า
  3. ผู้ชายมักคิดว่าผู้หญิงชอบตัวเองเกินจริง
  4. ความคึกคะนองทางเพศขายชายเป็นที่ยอมรับมากกว่า
  5. ผู้ชายจอดรถได้ดีกว่า
  6. ผู้ชายนอกใจได้ดีกว่า
  7. ผู้ชายชอบปิ้งซื้อของมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิ่งส่วนใหญ่ดูเฉย (ขี้เหนียว)
  8. ผู้หญิงระวังภัยได้มากกว่า เพราะสมองกลีบหน้าใหญ่กว่า
  9. ผู้หญิงมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากกว่า
  10. ผู้หญิงเป็นนักสื่อสารได้ดีกว่า   
  การทำงานให้ลุล่วงต้องอาศัยชายและหญิงเพราะชายมุ่งมั่นทำงานทำให้บรรยากาศเครียด หญิงมีความละเอียดทางอารมณ์จะช่วยเพิ่มมุมมองเรื่องความรู้สึกและจิตใจ ผู้หญิงต้องปล่อยให้ชายมีพื้นที่ส่วนตัวเพื่อรับมือกับปัญหาของเขาด้วย  ดังนั้นการเข้าใจและยอมรับทำให้มีชีวิตอยู่ร่วมกันได้

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สรุปสูตรของความสำเร็จจากทั่วมุมโลก

ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือประเภทจิตวิทยาหลาย ๆ เล่ม วันนี้ขอนำเสนอสรุปบทความเคล็ดลับความสำเร็จจากทั่วมุมโลกดังนี้ครับ

- จงปรับเปลี่ยนความเชื่อว่าทุกอย่างนั้นสามารถเป็นไปได้เสมอ
 พระเยซูตรัสว่า "ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า `จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น' มันก็จะเลื่อน และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่านเลย [มัทธิว 17:20]
   
ความเชื่อมั่นคือขุมพลังที่ก่อให้เกิดแรงผลักดันชนิดพลิกฟ้าพลิกดินหลายอย่างถ้าคุณไม่มีความเชื่อมั่น แค่ทอดไข่เจียวให้อร่อยก็ยังทำได้ยาก  หนังสือทุกเล่มจะยกประเด็นตรงนี้มาเล่นเป็นประเด็นแรกเสมอ และผมก็เห็นด้วย 100% ว่าความเชื่อมั่นเป็นตัวกำหนดอนาคตของชีวิตจริงๆ ลูกค้าผมหลายคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตล้วนมีความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมประสบการณ์เสมอ

- ต้องเรียนรู้จากต้นแบบที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น

คุณคงได้ยินคำว่า “คนเก่งเรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเอง คนฉลาดเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น” การเรียนรู้วิชาใดๆก็ตามจากตัวจริงจะช่วยทำให้คุณประหยัดเวลาในชีวิตไปหลายขุม ยกตัวอย่างกรณีง่ายๆแบบคลาสสิค ถ้าหากคุณอยากเปิดร้านกาแฟ แต่คุณไปถามคนที่ไม่เคยเปิดร้านหรือเปิดแล้งเจ๊ง คุณจะรู้แต่สิ่งที่ไม่ควรทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จเป็นร้อยๆข้อ ซึ่งจะทำให้เห็นแต่ความกลัว แต่ถ้าคุณไปถามคนที่เปิดร้านกาแฟแล้วรวย ประสบความสำเร็จ คุณจะรู้แต่สิ่งที่ควรทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จไม่ถึง 10 ข้อ ซึ่งจะทำให้เห็นโอกาสได้ง่ายกว่า

- จงกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม มีเวลาตายตัวชัดเจน
การมีเป้าหมายเหมือนลูกธนูที่วิ่งตรงสู่เป้าถ้าคุณอยากจะกำหนดเป้าหมายในชีวิตอะไรซักอย่าง  อย่าตั้งให้สูงจนไปไม่ถึง เริ่มจากการตั้งเป้าหมายใหญ่ๆแล้วซอยย่อยให้เป็นข้อเล็กๆ เช่น ถ้าคุณอยากมีเงินเก็บ 10 ล้านทั้งๆที่ตอนนี้ไม่มีติดบัญชีซักบาท คุณไม่ควรกำหนดเป้าหมายว่าชีวิตนี้ฉันต้องมีสิบล้าน แต่ควรกำหนดเป้าหมาย 10 ล้านแล้วซอยย่อยลงมาเป็นเป้าหมายเก็บเงินให้ได้ 1 หมื่นแรกบาทภายใน x เดือนเสียก่อน แล้วพยายามทำให้ได้จริง

- คุณต้องเชื่อมั่นในเสียงข้างในตัวคุณ

ถ้าคุณตัดสินใจจะทำอะไรซักอย่าง ถ้าเสียงนั้นออกมาจากข้างใน มันร่ำร้องให้คุณเดินไปข้างหน้า หากคุณทำ คุณอาจจะผิดพลาด ล้มเหลว หรือไม่เป็นอย่างที่คิด แต่มันก็ทำให้คุณสามารถเรียนรู้และเดินไปข้างหน้าได้ ไม่หยุดอยู่กับที่ การปล่อยให้เสียงข้างในดังน้อยกว่าเสียงข้างนอกของคนอื่นเป็นสัญญาณของความล้มเหลวที่แท้จริงทุกประการคุณต้องรู้ว่าคุณพอใจกับสิ่งไหน การได้อยู่กับพ่อแม่ คุณทำอะไรแล้วมีความสุขกับสิ่งนั้น ทำให้ชีวิตคัณมีทิศทาง มีความกระตือรือรนตลอดเวลา ทำให้เรามีแรงฮึด หรือความอดทนต่อสู้

- จินตนาการเป็นพลังงานมหัศจรรย์
จินตนาการเป็นพลังดึงดูด มีศักยภาพที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีวันหมดของมนุษย์คือจินตนาการ แต่น่าประหลาดที่คนส่วนใหญ่มักสูญเสียพรสวรรค์อันนี้ไปเมื่อโตขึ้น สมัยเด็กคุณอยากเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น แต่พอโตขึ้นมาก็จะมีคนบอกคุณว่าต้องเป็นอะไร ไม่ต้องเป็นอะไร พวกเขาพยายามบังคับให้คุณอยู่ในโลกแห่งเหตุผลที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ คนจนไม่มีวันรวย คนกระจอกไม่มีวันเก่ง คนธรรมดาไม่มีวันเป็นคนไม่ธรรมดา คนไม่มีชื่อเสียงไม่มีวันเปลี่ยนตัวเองเป็นคนมีชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้ทำให้พลังของจินตนาการหายไปอย่างไม่มีวันกลับ

- อย่าทำงานเพื่อเงิน

ผมใช้เวลาอยู่นานมากกว่าจะเข้าใจความหมายของคำนี้อย่างถ่องแท้ คำว่าอย่าทำงานเพื่อเงินไม่ได้หมายถึงไม่คาดหวังผลตอบแทน แต่หมายถึงให้เราสร้างงานที่มีคุณค่าต่อผู้อื่นให้มากๆแล้วเดี๋ยวสิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นเงินย้อนกลับมาหาตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาความรัก แล้วคุณพยายามใช้ความสามารถนั้นช่วยเหลือผู้คนในวงกว้าง เช่น สอนผ่าน Youtube เขียนผ่าน WordPress เป็นต้น เมื่อสิ่งที่คุณทำสามารถส่งผลดีต่อคนอื่นได้มากพอจนเปลี่ยนชีวิตพวกเขาได้ด้านนั้นๆได้ เดี๋ยวพวกเขาจะเรียกร้องให้คุณสร้างสินค้าแล้วจะรออุดหนุนเพื่อส่งคืนสิ่งดีๆให้คุณเอง

- จงใช้เวลาในชีวิตให้คุ้มค่า

เพราะคนเราเกิดมามีเวลาจำกัด เราไม่สามารถคงร่างกายและจิตวิญญาณให้อยู่กับโลกได้ตลอดไป วันหนึ่งคุณต้องตาย ผมต้องตาย พ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงคนที่เรารักทุกคนต้องตาย ไม่ว่าชีวิตนี้เราจะทุกข์ สุข มีความทรงจำที่อยากเก็บไว้กับตัวมากแค่ไหนก็ตาม วันหนึ่งธรรมชาติจะลบเราไปเหมือนเราไม่เคยมีตัวตน เวลาคนเรามีกำจัดมาก มีความฝันอะไร เราควรทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ

เทคนิคการเป็นผู้ฟังที่ดี


  1. ตั้งวิสัยทัศน์สำหรับตัวคุณเอง นึกภาพตัวเองกำลังฟังอย่างตั้งใจ มองเห็นอะไร การสบตาผู้ฟัง พยักหน้า โน้มตัวเข้าหาผู้พูด แสดงความรู้สึกทางสีหน้า
  2. พูดสรุปใจความสำคัญ เช่น "ผมเห็นด้วยครับกับสิ่งที่คุณพูดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และผมตระหนักถึงเวลาที่เรามีอยู่ คุณช่วยสรุปให้ฟังได้ไหมอะไรคือประเด็นสำคัญในเรื่องนี้"
  3. เตรียมระบบเกื้อหนุนให้พร้อม ให้ข้อมูลทีละหนึ่งหรือสองชิ้น ทำให้การสื่อสารชัดเจน ผู้รับฟังไม่เครียด
  4. ถามตัวเองว่า คุณควรพูดหรือฟังตอนนี้ สะท้อนความคิดของคุณกลับไปยังผู้พูด ทำให้บทสนทนาชัดเจนขึ้น " สิ่งที่ฉันได้ยินคุณกำลังพูดคือ ...." หรือ" คุณช่วยอธิบายวิธีที่คุณใช้ให้ฟังได้ไหม"
  5. เข้าใจลักษณะวิธีการสื่อสารคู่สนทนา ใช้วิธีการเดียวกับเขาน้้น หากเขาเป็นคนเปิดเผย ต้องพูดจาโต้ตอบกับผู้พูด   ถ้าหากเขาคิดแต่เรื่องตนเอง จงนั่งฟังเฉย ๆ ซึมซับข้อมูลเข้าไป
  6. อย่าพยายามควบคุมบทสนทนาต้องหยุดพักเป็นช่วงระหว่างประโยคหรือความคิด

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความคิดสร้างสรรค์ ๒


Adam Grant ศาสตราจารย์จาก มหาวิทยาลัย Wharton ได้แบ่งปันข้อมูลที่สำคัญจากหนังสือเล่มใหม่ของเขา

ปัจจุบัน อะไรคือปัจจัยที่สำคัญหากต้องการประสบความสำเร็จ? แน่นอนว่า ไม่ใช่ความสามารถแบบเดียวกับหุ่นยนต์ เพราะสิ่งที่หุ่นยนต์ทำแทนมนุษย์ได้ เราคงไม่ต้องการให้มนุษย์ทำสิ่งนั้น ในเกือบทุกวงการ “ความคิดสร้างสรรค์” คือปัจจัยหลัก และอนาคตปัจจัยนี้จะยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณกำลังหาวิธีเพิ่มโอกาสความสำเร็จในอนาคตให้กับลูกๆ ของคุณ จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องโฟกัสใน “ความคิดสร้างสรรค์” ไม่ใช่แค่ความสำเร็จแบบผิวเผิน ถ้าคุณเห็นด้วยกับประโยคข้างต้น Adam Grant ศาสตราจารย์จาก มหาวิทยาลัย Wharton และผู้แต่งหนังสือ Originalsอยากจะบอกคุณว่า “ถึงเวลาหยุดเป็นพ่อแม่จอมเฮี๊ยบได้แล้ว (it’s time to rein in your Tiger Mom or helicopter dad tendencies)”

Adam Grant ได้กล่าวเตือนไว้ว่า “ความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ และถ้าคุณยังไม่หยุดบงการให้ลูกคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่คุณจะได้กลับมาแทนคือ หุ่นยนต์ที่มีความทะเยอทะยาน”

ถ้าคุณเริ่มเข้าใจกับประโยคข้างต้น คุณอาจจะยังสงสัยอยู่ว่า “แล้วการบังคับให้ลูกเรียนไวโอลิน และให้ตั้งใจเรียน ไม่ใช่คำตอบ แล้วอะไรคือคำตอบ?” การที่คุณอยากให้ลูกมี “ความคิดสร้างสรรค์” คุณแค่คิดว่ามันปูทางไปสู่ความสำเร็จในอนาคตของเขา หรือแค่คิดว่าเป็นสิ่งที่เด็กน่าจะสนุกกับมันกันแน่?

ลองดูคำแนะนำที่จับต้องได้ของ Adam Grant

1. ลดการใช้กฎ

“มีการศึกษา เปรียบเทียบครอบครัวของเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงสุดในโรงเรียน และครอบครัวของเด็กที่ไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์ ปรากฎว่า พ่อแม่ของเด็กทั่วๆ ไป จะมีกฎประจำบ้านเฉลี่ย 6 ข้อ เช่น ตารางสำหรับการทำการบ้าน เวลาที่ต้องเข้านอน ส่วนพ่อแม่ของเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์สร้าง มีกฎประจำบ้านเฉลี่ยไม่เกิน 1 ข้อ”
Adam ขยายความว่า “ถ้าคุณสอนให้เด็กทำตามกฎ มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่า เมื่อถึงเวลาที่เด็กต้องแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง เขาจะเริ่มจากดูว่าปัญหานี้ถูกแก้ไว้อย่างไร และหาวิธีที่สะดวกที่สุด” แทนที่เด็กจะบอกว่า “ไหนดูสิ ฉันจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ยังมีวิธีอื่นอีกมั๊ย ที่ยังไม่เคยมีใครลองบ้าง”


2. ชมลูกให้ถูกวิธี

คุณอาจจะเคยได้ยินว่า พ่อแม่ควรจะชื่นชมความพยายามของเด็ก แทนการชมว่าฉลาด เพื่อฝึกให้เด็กมีความพยายาม (ซึ่งจริงๆแล้ว หลายคนตีความหมายของเรื่องนี้ผิดจากสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นไอเดียนี้) ถ้าคุณต้องการจะส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในตัวลูก คุณต้องให้ความระมัดระวังในการชมความสำเร็จที่เด็กๆ ได้ทำ
ชมลูกว่า “ลูกเป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์มาก” ดีกว่า “รูปนี้สร้างสรรค์ดี” Grant กล่าว “สิ่งที่เราต้องช่วยเด็กคือ ทำให้เด็กเข้าใจว่าพฤติกรรมใด เป็นพฤติกรรมที่แสดงความเป็นตัวตนของเขา เพื่อให้เขาเติบโตโดยไม่สูญเสียความคิดสร้างสรรค์นั้น”


3. สอนลูกด้วยเหตุด้วยผล

การอธิบายบางอย่างให้เด็กฟัง บางทีเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ถ้าคุณอยากให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ คุณควรเผื่อเวลาไว้สำหรับอธิบายเหตุผลต่างๆ ให้เด็กฟัง อ้างอิงจากการศึกษาชีวิตวัยเด็กของเหล่าฮีโร่ที่ช่วยเหลือคนในภัยพิบัติ และสถาปนิกที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงๆ Grant แนะนำพ่อแม่ว่า  “อย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้” ให้พยายามหาวิธีทำให้เด็กได้คิดเองว่า สิ่งที่เขาทำนั้นจะส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไรบ้าง”
อาจจะสงสัยว่า ความกล้าหาญอย่างเหลือเชื่อในตัวฮีโร่ (ที่ช่วยชีวิตผู้อื่น) มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่อง ความคิดสร้างสรรค์? ความรู้จักผิดชอบชั่วดี และ ความคิดสร้างสรรค์นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกัน Grant อธิบายว่า “การที่เด็กได้คลุคลีอยู่กับผู้ใหญ่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีแนวโน้มอย่างมากที่จะรู้จักเรื่องผิดชอบชั่วดี” เขาอธิบายต่อว่า “พ่อแม่มีส่วนในการอบรมสั่งสอนและแสดงตัวอย่างให้เด็กเข้าใจเรื่องคุณค่าของความดีงาม ปลูกฝังให้เด็กคิดมากขึ้นเรื่องผลกระทบที่มีต่อผู้อื่นจากสิ่งที่เขาทำ และในขณะเดียวกันพ่อแม่เองก็ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ภายใต้คุณค่าของความดีงามนั้น ”
ขอบคุณข้อมูลดีๆมีประโยชน์จาก inc.com

เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความคิดสร้างสรรค์

หากพูดถึง “ความคิดสร้างสรรค์” เชื่อว่าทักษะนี้ มีอยู่ในเด็กแทบทุกคน ถ้าถูกเลี้ยงให้ช่างคิด และไม่ถูกล็อกทางความคิดมาตั้งแต่ต้น ที่พูดเช่นนี้ ทีมงานกำลังจะสื่อให้เห็นว่า การที่ลูกมีทักษะความคิดสร้างสรรค์ และคิดอย่างมีวิจารณญาณที่ดีนั้น ตัวแปรสำคัญอยู่ที่พ่อแม่ ว่าใช้หลักการเลี้ยงดูอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ
สอดรับกับเมื่อหลายปีก่อน ได้มีการสำรวจทักษะความคิดสร้างสรรค์ของเด็กโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พบว่า เด็กส่วนใหญ่ ร้อยละ 80 มีทักษะความคิดสร้างสรรค์อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำ จนน่าเป็นห่วงมาก
วันนี้ เพื่อให้ทุกครอบครัวเข้าใจหลักการเลี้ยงลูกให้คิดสร้างสรรค์อย่างได้ผล ทีมงาน Life and Family มีตัวช่วยจาก “ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธวงศ์” ประธานศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว) มาช่วยปลดล็อกวิธีเลี้ยงลูกแบบผิดๆ ให้เลี้ยงลูกแบบถูกทาง เพื่อนำไปปรับประยุกต์ เสริมทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ของลูกให้ได้ผลยิ่งขึ้น
กับเรื่องนี้ “ผศ.ดร.อุษณีย์” ให้มุมมองว่า ปัจจุบัน ความคิดสร้างสรรค์ได้กลายเป็นภาวะวิกฤตของสังคมไทยไปแล้ว เพราะเด็กส่วนใหญ่ชอบเลียนแบบมากกว่าที่จะคิดนอกกรอบ สิ่งเหล่านี้ เชื่อว่า เกิดจากความเคยชินในวิถีปฏิบัติที่พ่อแม่แต่ละยุคสมัยทำต่อๆ กันมา ซึ่งเป็นตัวครอบความคิดทั้งของตัวพ่อแม่ และตัวเด็กเอง เห็นได้จาก เมื่อลูกสงสัย หรืออยากทำในสิ่งนอกเหนือวิถีที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติ พ่อแม่บางคนมักพูดกับลูกว่า “นี่ อย่ามานอกคอกนะ” หรือ “ทำให้มันเหมือนๆ คนอื่นไม่เป็นบ้างหรือไง” เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อลูกสงสัย และอยากทำอะไร พ่อแม่ต้องลองเรียนรู้ร่วมกันกับลูกด้วย ซึ่งจะได้คำตอบ หรือไม่ได้ ค่อยมาคุย และหาทางออกกันใหม่ แต่ทั้งนี้ไม่ควรตัดโอกาสลูกด้วยคำพูดที่ทำให้ขาดความเชื่อมั่น จนไม่กล้าที่จะคิดอย่างสร้างสรรค์ นั่นจะทำให้เด็กไม่ฉลาด และไม่กล้าแสดงออกในที่สุด
“การเปิดโอกาสให้ลูกเรียนรู้ ได้คิด ได้ลองทำ โดยไม่ถูกตีกรอบด้วยคำพูดที่บอกว่า อย่าทำนะ ห้ามนั่น ห้ามโน่น จะช่วยให้ลูกเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งการที่พ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกได้ทดลอง ฉีกกรอบ หรือคิดอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น และร่วมเรียนรู้ หาคำตอบกับลูก ลูกก็จะคิดเป็น และสนุกที่จะเปิดสมองหาความรู้สู่การคิดที่สร้างสรรค์อย่างเต็มที่ต่อไป” ผศ.ดร.อุษณีย์ กล่าว
เห็นได้จากครอบครัวของนักวิทยาศาสตร์ของไทยท่านหนึ่งที่ “ผศ.ดร.อุษณีย์” ยกตัวอย่างการสอนลูกให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่ง ลูกเกิดไม่สบายขึ้นมา และอยากกินหอยแครงลวก คุณแม่จึงพาไปตลาด เพื่อไปซื้อหอยแครง จากนั้นคุณแม่ก็นำหอยไปแช่นำ และเอาเกลือมาโรย ในขณะที่ลูกก็เกิดความสงสัยจึงอธิบายให้ลูกฟังว่า เกลือจะทำให้หอยคายโคลนออกมา ลูกถามกลับว่า แล้วใช้อย่างอื่นไม่ได้หรือ ซึ่งตัวคุณแม่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะช่วยลูกหาคำตอบ
จึงเกิดการทดลองกันขึ้น โดยแม่พาลูกกลับไปตลาดอีกครั้ง เพื่อคัดซื้อหอยขนาดเดียวกันมาทดลอง เอาหอยแม่มาใส่โหลที่มีน้ำ จากนั้นลองนำน้ำตาล น้ำปลา เกลือ น้ำส้มสายชู ใบมะระขี้นกที่ปลูกในบริเวณบ้าน มาตำ แล้วใส่ในโหล ปรากฎว่า โหลที่ใส่ใบมะระขี้นกคายโคลนออกมามากที่สุด ซึ่งการทดลองกับแม่ ได้กลายเป็นโครงงานของลูก และได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ ซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่เพียงชั้นป.1 เท่านั้น
นี่คือตัวอย่างการสอนลูกอย่างสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของการเลี้ยงลูก จะมีหลักอยู่ด้วยกัน 3 อย่างที่เกี่ยวเนื่องกับความคิดสร้างสรรค์ และความเชื่อมั่นของลูก คือ การชมเชย การลงโทษ และการเพิกเฉย ซึ่งต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม เช่น ชมเชยลูกได้ แต่อย่าชมอย่างฟุ่มเฟือยจนลูกเหลิง หรือขาดความมั่นใจไปเลย เพราะพ่อแม่บางคน ยังไม่ทันได้เห็นผลงานลูกเลย ก็ชมออกหน้าออกตา ทำให้ลูกไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ทำ ดีจริงหรือไม่ เนื่องจากเด็กบางคนรู้สึกได้ว่า สิ่งที่เขาทำยังทำได้ไม่ดีพอ แต่พ่อแม่กลับชมว่าดี
ดร.อุษณีย์ไขเทคนิคเลี้ยงลูก ให้ช่างคิดอย่าง ‘สร้างสรรค์’
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
ในขณะที่บางบ้าน เอาแต่เคร่งครัดเรื่องวินัย กดดัน และลงโทษลูก แม้จะเป็นความผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม อาจทำให้ลูกไม่กล้าคิด หรือแสดงความคิดเห็นอะไร เพราะกลัวว่าจะถูกดุ หรือถูกลงโทษ อีกทั้งยังรวมไปถึงบ้านที่วางเฉย ไม่สนใจลูก
วิธีเหล่านี้ พ่อแม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ ก่อนที่ลูกจะโตเป็นอนาคตของชาติที่ไม่มั่นใจในตัวเอง จนนำไปสู่การคิด และสร้างสรรค์ได้อย่างไม่เต็มที่ กลายเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าเข้าสังคม และคิดไม่เป็นในที่สุด แต่ถ้าพ่อแม่สามารถปลดล็อกได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก จะช่วยต่อยอดทางความคิดให้กับเด็กได้ดีทีเดียว
“ความคิดสร้างสรรค์มาจากการที่จะต้องแก้ปัญหา ถ้าไม่สอนให้ลูกมองเห็นปัญหา เด็กก็จะไม่มีวิธีคิดที่จะหาวิธีแก้ อย่างไรก็ดี ความคิดสร้างสรรค์ของลูกจะลดลงเมื่อต้องเข้าสู่รั้วโรงเรียน เพราะต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบหลายชั้น ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้ความสร้างสรรค์ของลูกคงที่ พ่อแม่ต้องช่วยลูก เวลาอยู่ที่บ้าน ควรใช้วิธีการสอนที่แปลกใหม่ ไม่สอนในแบบที่เคยทำกันมา
เช่น ให้ลูกเข้าครัวทำอาหารด้วยกัน โดยไม่ทำแบบที่เคยทำได้ไหม แต่ดัดแปลงให้เป็นอาหารจานใหม่ที่มาจากเมนูเดิมได้ไหม หรือเวลาจะเล่านิทานให้ลูกฟัง พอเล่าจบแล้ว ลองให้ลูกแต่งเรื่องใหม่ได้ไหม วิธีนี้จะช่วยได้เยอะ” ผศ.ดร.อุษณีย์แนะเคล็ด
นอกจากนี้ การที่จะให้มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีนั้น ตัวพ่อแม่เองจะต้องมีคลังคำศัพท์ที่มากพอสมควร ทั้งนี้เพื่อจะได้สอน และเพิ่มให้ลูกได้ใช้ในการผสมคำได้มากขึ้น วิธีการสอนง่ายๆ คือ ฝึกให้ลูกต่อคำจาก 1 คำให้ได้มากที่สุด เช่น นึกถึงคำว่าน้ำ เอามาประกอบเป็นคำอื่นๆ อะไรได้บ้าง ฝึกกับลูกบ่อยๆ และปล่อยให้ลูกคิดอย่างอิสระ และเป็นไปตามจินตนาการ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกคิดนอกกรอบได้ไม่น้อย
จะเห็นได้ว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องสำคัญ ที่จะต่อยอด และพัฒนาความคิดของลูกได้ดี ซึ่งต้องเริ่มจากพ่อแม่ ที่มีส่วนช่วยกันสร้างความมั่นใจ ด้วยการพูดให้เกิดกำลังใจ และเลิกใช้คำพูดในเชิงคำสั่ง ขณะเดียวกันเมื่อลูกสงสัย ไม่ควรปล่อยค้างไว้ แต่ต้องร่วมกันหาคำตอบกับลูก สิ่งเบื้องต้นเหล่านี้ ถ้าพ่อแม่ปลดล็อกวิธีเดิมๆ ที่มักจะบอกลูกว่า “ใครๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ จะสงสัยอะไร” หรือ “เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด” ลูกก็จะไม่ถูกตีกรอบ และใช้ความคิดได้อย่างอิสระ กลายเป็นเด็กที่คิดสร้างสรรค์ และคิดเป็นต่อไป

นิสัยไม่ดี 20 ข้อที่คนประสบความสำเร็จไม่ควรทำ


นิสัยไม่ดี 20 ข้อที่คนประสบความสำเร็จไม่ควรทำ


SHARETWEETEMAIL
KIITDOO in Life Hacks January 22, 2016
LIKE KIITDOO ON FACEBOOK
คนที่ประสบความสำเร็จนั้น เขาใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย นิสัยของเขาจะเป็นนิสัยที่เกื้อหนุนการใช้ชีวิตเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ พวกเขาจะเป็นคนมีหลักการ และการเลือกที่จะมีชีวิตแบบที่เขาเลือกนั้น ก็จะนำพาพวกเขาสู่ถนนแห่งความสำเร็จ วันนี้เราขอเอา 20 นิสัยที่ คนที่ประสบความสำเร็จ “ปฏิเสธ” ที่จะมีอย่างเด็ดขาดมาฝากกัน!
1. ไม่ให้คำนิยามความสำเร็จจาก “เงิน”
คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก ให้คำนิยาม “ความสำเร็จ” คือความสุข ความสงบ การได้ช่วยเหลือคนอื่น ส่วนเงินทองและความมั่งคั่งนั้น มีเพียงแค่ซื้อความสบาย และเปิดโอกาสให้กับพวกเขามากขึ้นนั้น แต่นั่นแหละ พวกเขาตระหนักว่า “เงิน” อย่างเดียวไม่สามารถหาซื้อ “ความสุข” ในชีวิตได้หรอก
2. ไม่เริ่มต้นวัน โดยไม่วางแผน
ไม่ใช่แค่การวางแผนระยะสั้นและระยะยาวเท่านั้น แต่คนพวกนี้วางแผนกันเป็น “รายวัน” ว่าในวันหนึ่งๆ มีอะไรที่พวกเขาต้องทำให้ “สำเร็จ” บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่เรียกว่า “Golden Hour” ซึ่งเป็น 1 ชั่วโมงแรกหลังจากตื่น ที่เป็นเวลาที่สดชื่น ที่เหมาะมากในการวางแผนว่าทั้งวันนี้ของเขา ต้องทำอะไรบ้าง!
3. ความสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ เป้าหมาย
คนที่ประสบความสำเร็จ จะคิดว่า มันเป็นเรื่องเสียเวลา และเปลืองพลังงานมาก ที่จะโฟกัสไปที่ “ความสมบูรณ์แบบ” เพราะนั่นหมายถึง คุณต้องมาหาจุดบกพร่องทุกจุด เพื่อแก้มันให้สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่เขามุ่งมั่นคือ ทักษะของพวกเขาที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากการสำเร็จในแต่ละเป้าหมายๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดแล้ว ที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กับที่ แต่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
4. ไม่สุงสิงกับคนมองโลกในแง่ลบ
คนที่มองโลกในแง่ร้าย คนขี้บ่นในทุกเรื่อง คนที่ผัดวันประกันพรุ่ง คนที่ชอบแก้ตัว พวกนี้ คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่สุงสิงด้วยเด็ดขาด เพราะยิ่งอยู่ใกล้ ก็ยิ่งเป็นการได้รับพลังงานลบถ่ายทอดมา แต่พวกเขาชอบอยู่ใกล้คนที่จะคอยให้แรงบันดาลใจกับเขามากกว่า!
5. ไม่มองเรื่องยากๆ หรือปัญหาในแง่ลบ
คนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเจอเรื่องยากๆ ปัญหายากๆ สิ่งที่เขาจะคิดคือ พวกเขาเอาชนะมาแล้วหลายปัญหาในอดีต เพราะฉะนั้น อันที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ ก็ต้องเอาชนะมันไปให้ได้ และนั่นคือประสบการณ์ที่จะทำให้พวกเขาเก่งขึ้นๆ ยิ่งเข้าไปอีก
6. ไม่จมอยู่กับความล้มเหลว
คนเหล่านี้มอง “ความล้มเหลว” คือส่วนหนึ่งของการเติบโต พวกเขาเห็นเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ เพื่อก้าวไปข้างหน้า เพราะพวกเขาเชื่อว่า ไม่ว่าเราจะล้มอีกกี่ครั้ง ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาใหม่ คุณจะแข็งแกร่งกว่าเดิม!
7. ไม่จมอยู่กับปัญหา
ถ้าวันๆ ใช้ชีวิตจมอยู่กับปัญหา คุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากความเครียด และนั่นคือช่องทางที่จะเจอปัญหาในชีวิตเพิ่มอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น แทนที่จะโฟกัสกับตัวปัญหา เปลี่ยนไปโฟกัสที่การกระทำของคุณที่ทำให้สถานการณ์มันค่อยๆ ดีขึ้นจะดีเสียกว่า เพราะมันจะทำให้คุณค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น และนั่นอาจจะทำให้คุณคิดวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ ออกเสียด้วยซ้ำ!
8. ไม่เอาสิ่งที่คนอื่นตัดสินคุณมาเป็นสาระสำคัญ
พวกเขาไม่วัดค่าตัวเองจากคำพูด หรือคำตัดสินของคนอื่น พวกเขารู้ค่าของตัวเอง รู้เป้าหมายของตัวเอง รู้หลักการของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องให้คนอื่นมารับรองในสิ่งๆ นั้น
9. ไม่ชอบแก้ตัว
หากงานที่เขาทำเกิดปัญหา ไม่ตรงไปตามแผน เขารับผิดชอบทุกอย่าง เขาจะไม่แก้ตัว หรือโทษสิ่งต่างๆ ที่ทำให้งานผิดพลาด พอรับผิดชอบแล้ว พวกเขาก็แก้ไขต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ พวกเขาจะมองอยู่อย่างเดียวคือ ในทุกๆ วัน เป้าหมายแต่ละวันต้องสำเร็จ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเล็ก หรือจะใหญ่ก็ตาม
10. ไม่อิจฉา เมื่อเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ
พวกเขาจะมีความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ทุกคน พวกเขาเชื่อว่า ยิ่งโลกนี้มีคนที่ประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่าไหร่ โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยพลังงานแห่งความสุขมากขึ้นเท่านั้น และการที่พวกเขาเห็นคนอื่นสำเร็จ ในสิ่งที่เขาเองยังไม่สำเร็จนั้น พวกเขาจะไม่ริษยา แต่ขอบคุณที่คนเหล่านั้นจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเขาเองประสบความสำเร็จในวันข้างหน้าเช่นเดียวกัน!
11. ไม่เคยละเลยคนที่เขารัก
พวกเขารู้ว่า การงานสำคัญ แต่ไม่สำคัญเท่าคนที่เขารัก ทั้งครอบครัว คนรัก และตัวของคุณเอง เพราะความสำเร็จ จริงๆ แล้วมันเริ่มจากภายใน และความรักความอบอุ่นจากคนใกล้ตัว มันช่วยคุณได้
12. ไม่มองข้าม “ความสนุก”
ถ้าวันๆ ทำงานเหนื่อยตลอดเวลา ชีวิตคุณจะไม่มีอะไรเลย คนพวกนี้รู้ถึงความสำคัญของกิจกรรมที่ทำให้พวกเขาสนุก พักผ่อน เพื่อเติมพลังงานก่อนที่พวกเขาจะกลับไปสู้งานต่ออีกครั้ง
13. ไม่ละเลยสุขภาพ
พวกเขาตระหนักว่า เมื่อมีสุขภาพดี ทุกอย่างจะดีตาม ความคิดจะดี มีพลังงานที่ดี สมองดี ทุกอย่างจะช่วยผลักดันให้การงานของเขาดีตามไปด้วย เพียงเริ่มต้นที่สุขภาพนั่นเอง
14. ไม่ตั้งเป้า ที่ไม่ชัดเจน
คนที่สำเร็จ มักมีเป้าหมายที่ “ชัด” ว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต และเมื่อเป้าคุณชัด คุณก็วางแผนการปฏิบัติง่าย และหลังจากนั้น ก็สู้เพื่อให้ถึงเป้าอย่างเดียว อย่างไม่ย่อท้อ และไม่วอกแวกหลงทาง นอกจากนี้ การมีเป้าที่ชัด มันทำให้คุณประเมินได้ง่ายว่า ตอนนี้คุณเดินมาจนถึงจุดไหนแล้ว และอีกไกลมั้ย ที่คุณจะไปถึงเป้าของคุณนั่นเอง
15. ไม่ดีแต่พูด พูดจริงทำจริง
คนพวกนี้ พูดอะไร ก็ทำอย่างนั้น และต้องทำให้สำเร็จด้วย เพราะพวกเขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่า เขาเป็นคนที่น่าเชื่อถือ พึ่งพาได้ หากคิดจะทำอะไรแล้ว ก็ลงมือทำอย่างตั้งใจ
16. ไม่ปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อ
คนเหล่านี้จะไม่ยอมให้ตนเองตกเป็นเหยื่อของการกระทำของคนอื่น พวกเขาจะหาวิธีที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาจะไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น พวกเขาจะให้อภัยและปล่อยวาง เพราะนั่นคือวิธีที่ทำให้พวกเขามีความสุขได้นั่นเอง
17. ไม่จมกับอดีต
คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่จมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เขาคิดว่าถ้าอยู่กับอดีต คุณจะไม่มีทางใช้ชีวิตคุ้มค่าได้ในปัจจุบัน ยิ่งถ้าคุณมีอดีตที่เจ็บปวดด้วยแล้ว สิ่งที่คุณจะได้มาคือ พลังงานในแง่ลบที่จะทำให้คุณไม่มีทางมีความสุขในปัจจุบันได้เลย
18. ไม่ต่อต้าน การเปลี่ยนแปลง
แผนการต่างๆ กลยุทธ์ แทคติก หากเวลาเปลี่ยน อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ และพวกเขาจะยอมรับมัน ไม่หงุดหงิด ไม่ต่อต้าน แต่จะปรับเปลี่ยนไปตามนั้น เพราะเขาไม่เชื่อว่า มีหนทางสู่ความสำเร็จเพียงทางเดียว
19. ไม่หยุดที่จะเรียนรู้
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะอายุเพิ่มขึ้นแค่ไหน เขาจะอยากเรียนรู้ตลอดเวลา เพราะเขาเชื่อว่า ไม่มีใครที่เก่งไปทุกอย่าง แรงบันดาลใจอาจจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ มาจากใครก็ได้ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เคยทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว แต่เปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆ เสมอ
20. ไม่เคยจบทุกวันโดยปราศจากการขอบคุณ
ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ดีขึ้นกับเขา เขาจะซาบซึ้งในสิ่งที่เกิดขึ้น และการทำแบบนี้ การรู็สึกขอบคุณในสิ่งดีๆ รายวันที่เกิดขึ้นกับคุณก่อนนอน มันจะทำให้คุณรู้สึกดี และทำให้วันรุ่งขึ้น คุณตื่นมาอย่างมีความสุขและพร้อมสำหรับวันต่อไปมากๆ เลยทีเดียวล่ะ
H/T: Lifehack
FACEBOOKTWITTERE-MAIL

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ทำไมถึงต้องซื้อประกัน

เคยสงสัยไหม  ทำไม คนรวยแสนรวยถึงซื้อประกัน หรือ คนจนแสนจนยังกระเสือกกระสนเจียดเงินมาซื้อประกัน ?มาดูเหตุผลกันครับ



  • มีใครบ้างไหมที่แบ่งเงินไว้เผื่อเจ็บป่วย  น้อยมาก ถ้าเก็บไว้รู้ไหมว่าจะเก็บเท่าไหร่ เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะป่วยด้วยโรคอะไร ป่วยกี่คน จะได้เงินมากเท่าไหร่ สมมุติเก็บ หนึ่งล้าน หากป่วยหมอเรียกค่ารักษา หนึ่งแสนบาท คุณจ่ายหนึ่งแสน หมอเรียก หนึ่งล้าน คุณจ่ายหนึ่งล้านบาท  ดีไหม ถ้าหมอเรียกเก็บหนึ่งล้าน ประกันจ่ายจ่ายให้ ห้าถึงสิบเปอร์เซ็น ของเงินที่จะมีให้กับหมอ ไม่ต้องใช้เงินทั้งหมดที่คุณหามาได้ ?
  • แก่ชรามีเงินใช้ เก็บเองก็เก็บได้ เป็นคนเก็บเงินเก่ง  สำคัญ คุณต้องมีระเบียบ  ประการที่สอง คุณต้องไม่ถอนเลย  ประการที่สามคุณต้องไม่พิการก่อน ห้ามได้หรือป่าว  เงินฝากหยุด เมื่อพิการ  ดีกว่าไม ถ้าพิการมีคนฝากให้จนจบ ถ้าไม่พิการมีบัญชีไหนไหมที่ฝากแล้วไม่เคยถอนเลย 20 ถึง 30 ปี เกษียนแล้วค่อยถอน เห็นด้วยไหมว่า ธนาคารเป็นที่พักเงินมิใช่ที่ออมเงิน
  • จากไปเป็นทุนการศึกษา พ่อแม่ทุกคนบอกลูกว่ารักลูกจากหัวใจ  พ่อแม่ทุกครั้งที่บอกรักลูก หากไม่มีประกันชีวิต ถามจริงรักลูกเท่าชีวิตลูก หรือรักตราบที่ชีวิตคุณยังอยู่
  • ประกันชีวิตทันสมัยตลอดเวลา แม้เศรษฐกิจจะแย่

นิสัยที่คนประสบความสำเร็จควรปฏิเสธ

20 นิสัยที่คนประสบความสำเร็จ “ปฏิเสธ” ที่จะมีเด็ดขาด!!
SHARETWEETEMAIL
KIITDOO in Life Hacks January 22, 2016
LIKE KIITDOO ON FACEBOOK
คนที่ประสบความสำเร็จนั้น เขาใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย นิสัยของเขาจะเป็นนิสัยที่เกื้อหนุนการใช้ชีวิตเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ พวกเขาจะเป็นคนมีหลักการ และการเลือกที่จะมีชีวิตแบบที่เขาเลือกนั้น ก็จะนำพาพวกเขาสู่ถนนแห่งความสำเร็จ วันนี้เราขอเอา 20 นิสัยที่ คนที่ประสบความสำเร็จ “ปฏิเสธ” ที่จะมีอย่างเด็ดขาดมาฝากกัน!
1. ไม่ให้คำนิยามความสำเร็จจาก “เงิน”
คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก ให้คำนิยาม “ความสำเร็จ” คือความสุข ความสงบ การได้ช่วยเหลือคนอื่น ส่วนเงินทองและความมั่งคั่งนั้น มีเพียงแค่ซื้อความสบาย และเปิดโอกาสให้กับพวกเขามากขึ้นนั้น แต่นั่นแหละ พวกเขาตระหนักว่า “เงิน” อย่างเดียวไม่สามารถหาซื้อ “ความสุข” ในชีวิตได้หรอก
2. ไม่เร่ิมต้นวัน โดยไม่วางแผน
ไม่ใช่แค่การวางแผนระยะสั้นและระยะยาวเท่านั้น แต่คนพวกนี้วางแผนกันเป็น “รายวัน” ว่าในวันหนึ่งๆ มีอะไรที่พวกเขาต้องทำให้ “สำเร็จ” บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่เรียกว่า “Golden Hour” ซึ่งเป็น 1 ชั่วโมงแรกหลังจากตื่น ที่เป็นเวลาที่สดชื่น ที่เหมาะมากในการวางแผนว่าทั้งวันนี้ของเขา ต้องทำอะไรบ้าง!
3. ความสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ เป้าหมาย
คนที่ประสบความสำเร็จ จะคิดว่า มันเป็นเรื่องเสียเวลา และเปลืองพลังงานมาก ที่จะโฟกัสไปที่ “ความสมบูรณ์แบบ” เพราะนั่นหมายถึง คุณต้องมาหาจุดบกพร่องทุกจุด เพื่อแก้มันให้สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่เขามุ่งมั่นคือ ทักษะของพวกเขาที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากการสำเร็จในแต่ละเป้าหมายๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดแล้ว ที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กับที่ แต่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง
4. ไม่สุงสิงกับคนมองโลกในแง่ลบ
คนที่มองโลกในแง่ร้าย คนขี้บ่นในทุกเรื่อง คนที่ผัดวันประกันพรุ่ง คนที่ชอบแก้ตัว พวกนี้ คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่สุงสิงด้วยเด็ดขาด เพราะยิ่งอยู่ใกล้ ก็ยิ่งเป็นการได้รับพลังงานลบถ่ายทอดมา แต่พวกเขาชอบอยู่ใกล้คนที่จะคอยให้แรงบันดาลใจกับเขามากกว่า!
5. ไม่มองเรื่องยากๆ หรือปัญหาในแง่ลบ
คนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเจอเรื่องยากๆ ปัญหายากๆ สิ่งที่เขาจะคิดคือ พวกเขาเอาชนะมาแล้วหลายปัญหาในอดีต เพราะฉะนั้น อันที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ ก็ต้องเอาชนะมันไปให้ได้ และนั่นคือประสบการณ์ที่จะทำให้พวกเขาเก่งขึ้นๆ ยิ่งเข้าไปอีก
6. ไม่จมอยู่กับความล้มเหลว
คนเหล่านี้มอง “ความล้มเหลว” คือส่วนหนึ่งของการเติบโต พวกเขาเห็นเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ เพื่อก้าวไปข้างหน้า เพราะพวกเขาเชื่อว่า ไม่ว่าเราจะล้มอีกกี่ครั้ง ทุกครั้งที่ลุกขึ้นมาใหม่ คุณจะแข็งแกร่งกว่าเดิม!
7. ไม่จมอยู่กับปัญหา
ถ้าวันๆ ใช้ชีวิตจมอยู่กับปัญหา คุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากความเครียด และนั่นคือช่องทางที่จะเจอปัญหาในชีวิตเพิ่มอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น แทนที่จะโฟกัสกับตัวปัญหา เปลี่ยนไปโฟกัสที่การกระทำของคุณที่ทำให้สถานการณ์มันค่อยๆ ดีขึ้นจะดีเสียกว่า เพราะมันจะทำให้คุณค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น และนั่นอาจจะทำให้คุณคิดวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ ออกเสียด้วยซ้ำ!
8. ไม่เอาสิ่งที่คนอื่นตัดสินคุณมาเป็นสาระสำคัญ
พวกเขาไม่วัดค่าตัวเองจากคำพูด หรือคำตัดสินของคนอื่น พวกเขารู้ค่าของตัวเอง รู้เป้าหมายของตัวเอง รู้หลักการของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องให้คนอื่นมารับรองในสิ่งๆ นั้น
9. ไม่ชอบแก้ตัว
หากงานที่เขาทำเกิดปัญหา ไม่ตรงไปตามแผน เขารับผิดชอบทุกอย่าง เขาจะไม่แก้ตัว หรือโทษสิ่งต่างๆ ที่ทำให้งานผิดพลาด พอรับผิดชอบแล้ว พวกเขาก็แก้ไขต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ พวกเขาจะมองอยู่อย่างเดียวคือ ในทุกๆ วัน เป้าหมายแต่ละวันต้องสำเร็จ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเล็ก หรือจะใหญ่ก็ตาม
10. ไม่อิจฉา เมื่อเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ
พวกเขาจะมีความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ทุกคน พวกเขาเชื่อว่า ยิ่งโลกนี้มีคนที่ประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่าไหร่ โลกนี้ก็จะเต็มไปด้วยพลังงานแห่งความสุขมากขึ้นเท่านั้น และการที่พวกเขาเห็นคนอื่นสำเร็จ ในสิ่งที่เขาเองยังไม่สำเร็จนั้น พวกเขาจะไม่ริษยา แต่ขอบคุณที่คนเหล่านั้นจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเขาเองประสบความสำเร็จในวันข้างหน้าเช่นเดียวกัน!
11. ไม่เคยละเลยคนที่เขารัก
พวกเขารู้ว่า การงานสำคัญ แต่ไม่สำคัญเท่าคนที่เขารัก ทั้งครอบครัว คนรัก และตัวของคุณเอง เพราะความสำเร็จ จริงๆ แล้วมันเริ่มจากภายใน และความรักความอบอุ่นจากคนใกล้ตัว มันช่วยคุณได้
12. ไม่มองข้าม “ความสนุก”
ถ้าวันๆ ทำงานเหนื่อยตลอดเวลา ชีวิตคุณจะไม่มีอะไรเลย คนพวกนี้รู้ถึงความสำคัญของกิจกรรมที่ทำให้พวกเขาสนุก พักผ่อน เพื่อเติมพลังงานก่อนที่พวกเขาจะกลับไปสู้งานต่ออีกครั้ง
13. ไม่ละเลยสุขภาพ
พวกเขาตระหนักว่า เมื่อมีสุขภาพดี ทุกอย่างจะดีตาม ความคิดจะดี มีพลังงานที่ดี สมองดี ทุกอย่างจะช่วยผลักดันให้การงานของเขาดีตามไปด้วย เพียงเริ่มต้นที่สุขภาพนั่นเอง
14. ไม่ตั้งเป้า ที่ไม่ชัดเจน
คนที่สำเร็จ มักมีเป้าหมายที่ “ชัด” ว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต และเมื่อเป้าคุณชัด คุณก็วางแผนการปฏิบัติง่าย และหลังจากนั้น ก็สู้เพื่อให้ถึงเป้าอย่างเดียว อย่างไม่ย่อท้อ และไม่วอกแวกหลงทาง นอกจากนี้ การมีเป้าที่ชัด มันทำให้คุณประเมินได้ง่ายว่า ตอนนี้คุณเดินมาจนถึงจุดไหนแล้ว และอีกไกลมั้ย ที่คุณจะไปถึงเป้าของคุณนั่นเอง
15. ไม่ดีแต่พูด พูดจริงทำจริง
คนพวกนี้ พูดอะไร ก็ทำอย่างนั้น และต้องทำให้สำเร็จด้วย เพราะพวกเขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่า เขาเป็นคนที่น่าเชื่อถือ พึ่งพาได้ หากคิดจะทำอะไรแล้ว ก็ลงมือทำอย่างตั้งใจ
16. ไม่ปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อ
คนเหล่านี้จะไม่ยอมให้ตนเองตกเป็นเหยื่อของการกระทำของคนอื่น พวกเขาจะหาวิธีที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่พวกเขาจะไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น พวกเขาจะให้อภัยและปล่อยวาง เพราะนั่นคือวิธีที่ทำให้พวกเขามีความสุขได้นั่นเอง
17. ไม่จมกับอดีต
คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่จมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เขาคิดว่าถ้าอยู่กับอดีต คุณจะไม่มีทางใช้ชีวิตคุ้มค่าได้ในปัจจุบัน ยิ่งถ้าคุณมีอดีตที่เจ็บปวดด้วยแล้ว สิ่งที่คุณจะได้มาคือ พลังงานในแง่ลบที่จะทำให้คุณไม่มีทางมีความสุขในปัจจุบันได้เลย
18. ไม่ต่อต้าน การเปลี่ยนแปลง
แผนการต่างๆ กลยุทธ์ แทคติก หากเวลาเปลี่ยน อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ และพวกเขาจะยอมรับมัน ไม่หงุดหงิด ไม่ต่อต้าน แต่จะปรับเปลี่ยนไปตามนั้น เพราะเขาไม่เชื่อว่า มีหนทางสู่ความสำเร็จเพียงทางเดียว
19. ไม่หยุดที่จะเรียนรู้
ไม่ว่าคนเหล่านี้จะอายุเพิ่มขึ้นแค่ไหน เขาจะอยากเรียนรู้ตลอดเวลา เพราะเขาเชื่อว่า ไม่มีใครที่เก่งไปทุกอย่าง แรงบันดาลใจอาจจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ มาจากใครก็ได้ เพราะฉะนั้นเขาจะไม่เคยทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว แต่เปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆ เสมอ
20. ไม่เคยจบทุกวันโดยปราศจากการขอบคุณ
ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ดีขึ้นกับเขา เขาจะซาบซึ้งในสิ่งที่เกิดขึ้น และการทำแบบนี้ การรู็สึกขอบคุณในสิ่งดีๆ รายวันที่เกิดขึ้นกับคุณก่อนนอน มันจะทำให้คุณรู้สึกดี และทำให้วันรุ่งขึ้น คุณตื่นมาอย่างมีความสุขและพร้อมสำหรับวันต่อไปมากๆ เลยทีเดียวล่ะ
H/T: Lifehack
FACEBOOKTWITTERE-MAIL

หาลูกค้าเรื่องง่ายๆ

การหาลูกค้าสำหรับตัวแทนใหม่นั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับตัวแทนรุ่นเก๋านั้น เป็นเรื่องง่ายเสมอ มาดูกันครับเทคนิคที่รุ่นพี่ทำกัน เป็นฝ่ายร...