วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โรคปวดหลัง


ลักษณะทั่วไป
โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการปวดหลัง พบได้ตั้งแต่วัยหนุ่ม
สาวเป็นต้นไป เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และมักจะหายได้เอง แต่อาจเป็นๆ หาย ๆ
เรื้อรังได้

สาเหตุ
มักเกิดจากการทำงานก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนัก นั่ง ยืน นอน หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง
ใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป หรือนอนที่นอนนุ่มเกินไป ทำให้เกิดแรงกดตรงกล้ามเนื้อสันหลัง
ส่วนล่าง ซึ่งจะมีอาการเกร็งตัว ทำให้เกิดอาการปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง คนที่อ้วน หรือ
หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการปวดหลังได้เช่นกัน

อาการ
ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง (ตรงบริเวณกระเบนเหน็บ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเฉียบพลัน
หรือค่อยเป็นทีละน้อย อาการปวดอาจเป็นอยู่ตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะในท่าบางท่า การไอ
จาม หรือบิดตัว เอี้ยวตัวอาจทำให้รู้สึกปวดมากขึ้น โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแข็งแรงดี และไม่มี
อาการผิดปกติอื่น ๆร่วมด้วย

สิ่งตรวจพบ
มักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร

การรักษา
1. สังเกตว่ามีสาเหตุจากอะไร แล้วแก้ไขเสีย เช่น ถ้าปวดหลังตอนตื่นนอน ก็อาจเกิดจากที่
นอนนุ่มไป หรือนอนเตียงสปริง ก็แก้ไขโดยนอนบนที่แข็งและเรียบแทนถ้าปวดหลังตอนเย็น
ก็มักจะเกิดจากการนั่งตัวงอตัวเอียง หรือใส่รองเท้าส้นสูง ก็พยายามนั่งให้ถูกท่า หรือเปลี่ยน
เป็นรองเท้าธรรมดาแทน ถ้าอ้วนไป ควรพยายามลดน้ำหนัก
2. ถ้ามีอาการปวดมาก ให้นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉาก
สักครู่หนึ่งก็อาจทุเลาได้ หรือจะใช้ยาหม่อง หรือน้ำมันระกำทานวด หรือใช้น้ำอุ่นประคบก็ได้
ถ้าไม่หาย ก็ให้ยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน, พาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด จะกินควบกับ
ไดอะซีแพมขนาด 2 มก.ด้วยก็ได้
ถ้ายังไม่หาย อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น เมโทคาร์บา มอล , คาริโซม่า ครั้งละ 1 เม็ด ซ้ำ
ได้ทุก 6-8 ชั่วโมง
ผู้ป่วยควรนอนที่นอนแข็ง และหมั่นฝึก กายบริหารให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง
3. ถ้าเป็นเรื้อรัง หรือมีอาการชาที่ขา หรือขาไม่มีแรง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ควรแนะนำ ผู้ป่วยไป
โรงพยาบาล อาจ ต้องเอกซเรย์หลัง หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตาม สาเหตุที่พบ

ข้อแนะนำ
อาการปวดหลังแบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในหมู่ชาวไร่ชาวนา กรรมกรที่ทำงานหนัก และใน
หมู่คนที่ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ ซึ่งมักจะเข้าใจผิดว่า เป็นอาการของโรคไต โรคกษัย และซื้อ
ยาชุด ยาแก้กษัย หรือยาแก้โรคไต กินอย่างผิด ๆ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้น
จึงควรแนะนำชาวบ้านเข้าใจถึง สาเหตุของอาการปวดหลัง และควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น
โดยทั่วไป การปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อมักจะปวดตรงกลางหลัง ส่วนโรคไตมักจะปวดที่สีข้าง
และอาจมีไข้สูง หนาวสั่น หรือปัสสาวะขุ่นหรือแดงร่วมด้วย

การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยระวังรักษาท่านั่ง ท่ายืน ท่ายกของ ให้ถูกต้อง หมั่นออกกำลัง
กล้ามเนื้อหลังเป็นประจำ และนอนบนที่นอนแข็ง
โรคปวดหลังป้องกันได้ไม่ยากBack pain โรคปวดหลังพบได้บ่อยรองจากโรคปวดหัว เมื่อคุณอายุมากอาจ จะต้อง
เผชิญกับโรคนี้ "คิดป้องกันตอนนี้จะได้ไม่เป็นโรคปวดหลัง"

สาเหตุของการปวดหลังนั้นมีมากมาย ขึ้นกับอายุของผู้ป่วย ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคน
ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุจากการอักเสบของเอ็น และกล้ามเนื้อบริเวณสันหลัง อาจเกิดจากการ
จัดท่าทางของร่างกายไม่ถูกต้อง เช่น นั่งหลังงอ, เดินหลังโก่ง หรือยกของหนักผิดวิธี ฯลฯ
การรักษาจึงเป็นเพียงการรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการอักเสบ แก้ปวด
การจัดท่าทางให้ถูกต้องและการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ก็จะเพียงพอ

ยังมีสาเหตุของการปวดหลังในวัยหนุ่มสาว และกลางคนที่พบได้ไม่น้อยเลยคือ
หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาทขา ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดหลังส่วนล่าง
ปวดตะโพก ส่วนใหญ่จะร้าวลงขา มีบางรายอาจจะไม่ร้าวลงถึงต้นขา แต่อาการปวดจะ
ยังคงอยู่แค่บริเวณตะโพกและหลังเท่านั้น ในรายเช่นนี้ อาการปวดมักจะเป็นมากขึ้น
เมื่อก้มหรือ ไอ , จาม และดีขึ้นเมื่อได้นอนราบ

ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มีอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทนี้ สามารถวินิจฉัยได้จากการ
ซักถามประวัติและตรวจร่างกาย, มีการตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาและการทำกายภาพบำบัด
ค่อนข้างดี มีบางส่วนเท่านั้นที่อาการไม่ดีขึ้น ซึ่งต้องได้รับการยืนยันการวินิจฉัยโรค ด้วยการ
เอ็กซเรย์พิเศษอาจจะเป็นการฉีดสีเข้าบริเวณไขสันหลัง (Myelogram) หรือการเอ็กซเรย์
คอมพิวเตอร์แม่เหล็ก (MRI) ก็ได้ เมื่อยืนยันการวินิจฉัยได้แล้ว ก็สามารถให้การรักษาในขั้น
ต่อไปได้ โดยอาจจะเป็นการฉีดยาเข้าบริเวณไขสันหลังหรือการผ่าตัดเอาหมอนรองกระดูกที่
ทับเส้นประสาทนั้นออก

ส่วนในวัยสูงอายุ อาการปวดหลังมักมีสาเหตุจากการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลัง
เช่นกระดูกสันหลังงอกดทับเส้นประสาท หรือมีการเคลื่อนตัวของข้อกระดูกสันหลังออกจาก
ตำแหน่งเดิม ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติ, ตรวจร่างกาย และเอ็กซเรย์
การรักษาเบื้องต้นก็ยังคงเป็นการรับประทานยา, ใส่เสื้อรัดเอว, ทำกายภาพบำบัดเสียก่อน
ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นมากขึ้น ก็อาจจะพิจารณาเรื่องการผ่าตัดรักษา

สาเหตุอื่นๆส่วนน้อย ที่ทำให้มีอาการปวดหลังได้ ก็คือ ปวดจากการร้าวของอวัยวะของ
ช่องท้อง เช่น นิ่วที่ไต, ตับอ่อนอักเสบ ฯลฯ ซึ่งพบไม่บ่อยนัก จากประวัติอาการปวด, ตรวจ
ร่างกาย, เอ็กซเรย์

รวมถึงการตรวจทางห้องทดลอง (เลือด, ปัสสาวะ) ก็สามารถให้การวินิจฉัยได้ถูกต้อง
พอสมควรอยู่แล้ว

สาเหตุ โรคปวดหลังนั้นมีมากมาย ได้แก่
โดยกำเนิด, อุบัติเหตุ, เนื้องอก, ติดเชื้อ, อักเสบ, โรคเมตาบอลิก, โรคในช่องท้อง, โรค
กระดูกสันหลังเสื่อม แต่สาเหตุที่เป็นกันมาก และ สามารถป้องกันรักษาได้ คือ โรคกระดูก
สันหลังเสื่อม น้ำหนักตัวมาก ท่าทางไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกายทำให้ลงพุง
เอวแอ่นมาก

คนที่ลงพุง น้ำหนักที่มากขึ้นคูณกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อ หลังต้อง
ออกแรงดึง มากขึ้น การดึงเป็นเวลานานๆ ทำให้กระดูกสันหลัง เสื่อมเร็ว ทำให้ปวดหลังได้

ท่าทางที่ไม่เหมาะสม หลังจะค่อมทำให้เอวแอ่นมากขึ้น การที่เอว แอ่นมากขึ้น ทำให้ช่อง
ทางออก ของเส้นประสาท แคบลง เส้นประสาท ถูกเบียดมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ปวดหลัง
เอวแอ่นอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้ หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลย์กัน จึงเกิดการเสื่อม
ของหมอนรอง กระดูก ซึ่งมีผลทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมตามมา

การรักษา ที่ดีที่สุด คือ ป้องกันสาเหตุ ได้แก่
1. ลดน้ำหนักตัว ไม่ใช่การอดอาหาร แต่เป็นการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่งดเว้นการกินอาหาร
ที่มีแคลอรี่สูง มากเกิน ความจำเป็น เช่น ดื่มน้ำหวาน
2. ท่าทางเหมาะสม
ท่ายืน ที่ถูกต้อง คือ แขม่วท้องอกผายไหล่ผึ่งเอวแอ่นน้อยที่สุด ถ้าต้องยืนเป็นเวลานานควรมี
ที่พักเท้า การยืนห่อไหล่พุงยื่น ทำให้เอวแอ่น มากปวดหลังได้
ท่านั่ง ที่ถูกต้อง สันหลังตรงพิงพนัก เก้าอี้สูงพอดี และควรมีที่พักแขน การนั่งห่างจากโต๊ะ
มากทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมาก ที่นั่งที่เหมาะสม ที่สุดในการพักผ่อน ควรเอียง 60 องศา
จากแนวตั้ง มีส่วนหนุนหลัง มีที่วางแขน ทำด้วยวัสดุนุ่มแต่แน่น
ท่านั่งขับรถ ที่ถูกต้อง หลังพิงพนัก เข่างอเหนือระดับสะโพก การนั่งห่างเกินไป ทำให้เข่าต้อง
เหยียดออกกระดูกสันหลังตึง
ท่ายกของ ที่ถูกต้อง ควรย่อตัว ยกของให้ชิดตัว แล้วลุกด้วยกำลังขา การก้มลงหยิบของในลักษณะ
เข่าเหยียดตรง ทำให้ปวดหลังได้
ท่าถือของ ที่ถูกต้องควรให้ชิดตัวที่สุด การถือของห่างจากลำตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนัก
ปวดหลังได้
ท่าเข็นรถ ที่ถูกต้อง ควรดันไปข้างหน้า ออกแรงที่กล้ามท้อง การดึง ถอยหลังจะออกแรงที่กล้ามเนื้อ
หลังเป็นเหตุให้ปวดหลัง
ท่านอน ที่นอน ควรจะแน่น ยุบตัวน้อยที่สุด ไม่ควรใช้ฟูกฟองน้ำ หรือเตียงสปริง เพราะหลัง จะจม
อยู่ในแอ่ง ทำให้กระดูกสันหลังแอ่น มากปวดหลังได้
นอนคว่ำ จะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมากที่สุด โดยเฉพาะระดับเอว ทำให้ปวดหลังได้
นอนหงาย ทำให้หลังแอ่นได้เล็กน้อย ควรใช้หมอนข้างใบใหญ่ หนุนใต้ โคนขา จะช่วยให้กระดูก
สันหลังไม่แอ่น
นอนตะแคง เป็นท่านอนที่ดี ควรให้ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอ สะโพก และเข่ากอดหมอนข้าง
3. การออกกำลังกาย
กระดูกสันหลังปกติรับน้ำหนักมากอาจหลุดได้ แต่นักกีฬายกน้ำหนัก ได้มาก เพราะมีกล้ามเนื้อท้อง
แข็งแรง เปรียบเสมือนมีลูกบอลคอยช่วย รับน้ำหนักไว้ การออกกำลังกายที่จำเป็นต้องทำเป็นประจำ


ปวดหลัง /Back pain:
จาก หน่วยแนะแนวและปรึกษาปัญหาสุขภาพคลีนิค ผู้ป่วยนอก ออร์โทบิดิกส์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
จารุณี นันทวโนทยาน รวบรวม ร.ศ. นพ. วิเชียร เลาหเจริญสมบัติ ที่ปรีกษา

ปวดหลัง-ปวดเอว เป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน จากสถิติ มนุษย์ร้อยละ 80 เคยมี
ประสบการณ์การปวดหลัง-ปวดเอว อาการปวดจะแสดงได้ต่าง ๆ กัน บางท่านอาจปวดเฉพาะ
บริเวณหลังหรือกระเบนเหน็บ หรือบางท่านอาจปวดหลัง และร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง
สองข้างและมีอาการชาร่วมด้วยจนเดินไม่ได้ก็มี
หลังที่สมบูรณ์แข็งแรงจะยืดหยุ่นและไม่ปวดมีการทำงานของระบบโครงสร้าง คือ
กระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูกกล้ามเนื้อและเอ็นอย่างเหมาะสม และปกป้องอันตรายไม่ให้เกิด
กับประสาทไขสันหลัง

สาเหตุอาการปวดหลัง
1.) การใช้กิริยาท่าทางต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันไม่ถูกต้อง
2.) ความเสื่อมของกระดูกและข้อจากวัยที่สูงขึ้น
3.) ขาดการออกกำลังกายหรือมีการเคลื่อนไหวที่จำกัด
4.) ความผิดปกติของกระดูกสันหลังแต่กำเนิด เช่น หลังคด หลังแอ่น
5.) การมีการอักเสบหรือติดเชื้อ เช่น วัณโรคของกระดูกสันหลัง
6.) การได้รับอุบัติเหตุ เช่น ตกจากที่สูง
7.) การมีเนื้องอกของประสาทไขสันหลังหรือมะเร็งที่แพร่กระจายมายังกระดูกสันหลัง
8.) อาการปวดร้าวมายังหลังจากโรคของอวัยวะในระบบอื่น ๆ เช่นนิ่วในไต เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน
9.) ปัญหาที่ทำให้เกิดความตึงเครียด และความวิตกกังวลในชีวิต

การป้องกันอาการปวดหลัง
1.) เรียนรู้การใช้กิริยาท่าทางที่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน
2.) หลีกเหลี่ยงการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน
3.) หลีกเหลี่ยงการใช้แรงงานมาก ๆ และรู้ถึงขีดจำกัดกำลังของตัวเองในการยกของหนัก
4.) ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน ซึ่งทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวต้องรับน้ำหนักมาก โดย
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับร่างกายให้ครบทุกประเภท
5.) บำรุงรักษาสุขภาพร่างกายทั่วไปให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ร่วมกับการออกกำลังกาย
กลางแจ้ง เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ รำมวยจีน จะช่วยลดอาการปวดหลังจากการทำงาน
6.) ออกกำลังบริหารร่างกาย ป้องกันอาการปวดหลังอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ถึงแม้ในปัจจุบัน
ยังไม่มีอาการปวดหลัง
7.) ปรึกษาแพทย์และรับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มมีอาการ หรือสังเกตุเห็นความผิดปกติ

การบริหารร่างกายป้องกันอาการปวดหลัง
1. ประโยชน์
1.1 ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวไม่เกร็ง และแข็งแรงอยู่เสมอ
1.2 กระดูกและข้อเสื่อมช้าลง

2. หลักการ
2.1 เป็นการออกกำลังบริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ หน้าท้อง หลัง
ตะโพก และต้นขา และเพื่อยึดกล้ามเนื้อด้านหลังของหลังและขา
2.2 ควรออกกำลังบริหารด้วยความตั้งใจ ทำช้า ๆ ไม่หักโหม บริหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
เช้า – เย็น และในแต่ละท่าการบริหารทำประมาณ 10 ครั้ง
2.3 ท่าบริหารท่าใดท่าที่ทำแล้วมีอาการปวดหลังมากขึ้น ให้งดทำในท่านั้น ๆ

3. ท่าการบริหารป้องกันอาการปวดหลัง
ท่านเตรียมบริหาร
นอนหงายบนที่ราบ ศรีษะหนุนหมอน ขาเหยียดตรง มือวางข้างลำตัว

ท่าที่ 1 ยืดกล้ามเนื้อด้านหลังของขา
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าข้างหนึ่งขึ้นและวางเท้าราบกับพื้น ส่วนขาอีกข้างหนึ่งเหยียดตรง
วางราบกับพื้น ยกขาที่เหยียดตรงนี้ขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่ยกได้ โดยแผ่นหลังแนบกับพื้นตลอดเวลา
ไม่เคลื่อนไหว แล้วจึงค่อย ๆ วางขานี้ลงราบกับพื้นเหมือนเดิม พักสักครู่ ทำประมาณ 10 ครั้ง
แล้วจึงสลับบริหารขากอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน

ท่าที่ 2 เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องและตะโพก และลดความแอ่น
ของหลัง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าทั้งสองข้างขึ้น วางเท้าราบกับพื้น หายใจเข้าและออกช้า ๆ
พร้อมกับแขม่วหน้าท้อง กดหลังให้ติดแนบกับพื้น และเกร็งกล้ามเนื้อก้น [ขณะเกร็งกล้ามเนื้อก้น
ก้นจะยกลอยขึ้น] ทำค้างไว้นานนับ 1-5 หรือ 5 วินาที และจึงคล้าย พักสักครู่และทำใหม่ในลักษณะ
เดียวกัน 10 ครั้ง

ท่าที่ 3 ยืดกล้ามเนื้อหลัง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าทั้งสองข้างเอามือกอดเข่าเข้ามาให้ชิดอก และยกศรีษะเข้ามา
ให้คางชิดเข่า ทำค้างไว้นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ และเริ่มบริหารใหม่ในลักษณะ
เดียวกัน ทำประมาณ 10 ครั้ง

ท่าที่ 4 ยืดกล้ามเนื้อตะโพก
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร เอามือกอดเข่าข้างหนึ่งเข้ามาให้ชิดอก พร้อมกับขาอีกข้างเหยียดตรง
เกร็งแนบกับพื้น ทำค้างไว้นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึง
สลับบริหารขาอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน

ท่าที่ 5 ยืดกล้ามเนื้อสีข้าง
เริ่มในท่าเตรียมบริหาร ตั้งเข่าข้างหนึ่งขึ้นหันเข้าด้านในของลำตัว พร้อมกับใช้สันเท้า
ของอีกขาหนึ่งกอดเข่าที่ตั้งให้ติดพื้น โดยที่ไหล่ทั้งสองข้างติดพื้นตลอดเวลา ทำค้างไว้
นานนับ 1-10 แล้วจึงคลาย พักสักครู่ และเริ่มบริหารใหม่ ทำประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึงสลับ
บริหารขาอีกข้างหนึ่งในลักษณะเดียวกัน

สรุป
อาการปวดหลังสามารถป้องกันได้ในบางสาเหตุ ร่วมกับการบริหารร่างกายป้องกันอาการ
ปวดหลัง การรักษาในบางสาเหตุได้ผลมากน้อยเพียงไร ขึ้นกับปัจจัยส่งเสริมหลาย ๆ ประการ
การรักษาที่ถูกวิธีกับแพทย์เป็นสิ่งดีที่สุดสำหรับท่าน ขอให้ท่านมีสุขภาพหลังที่แข็งแรงอยู่เสมอ



วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การป้องกันน้ำเข้าบ้านทำอย่างไรดี

จอดรถที่ไหนดีในกรณีน้ำท่วม





บก.จร.ประกาศแหล่งจอดรถฟรีทั่วเขตนครบาล คาดรองรับความต้องการจอดรถได้เกือบ 70,000 คัน
      
        กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ประกาศสถานที่จอดรถฟรี 109 แห่ง โดยกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 (บก.น.1-9) เตรียมไว้บริการประชาชนในเขตนครบาล ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับได้ทั้งหมด 69,959 คัน ประกอบด้วย
      
       1.อาคารจอดรถ กทม. ถนนไกรสีห์ จำนวน 400 คัน
       2.อาคารสนามม้านางเลิ้ง จำนวน 100 คัน
       3.โรงแรมปรินซ์พาเลส จำนวน 50 คัน
       4.อาคารจอดรถ สวนสัตว์ดุสิต จำนวน 400 คัน
       5.ศูนย์การค้า SUPREME จำนวน 150 คัน
       6.บริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำนวน 100 คัน
       7.ศูนย์การค้าเอสพลานาด จำนวน 500 คัน
       8.ศูนย์การค้าฟอร์จูน จำนวน 400 คัน
       9.อาคารไซเบอร์เวิลด์ จำนวน 300 คัน
       10.สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (ศูนย์วัฒนธรรม) จำนวน 80 คัน
       11.ห้างแพลตตินัม จำนวน 150 คัน
       12.ห้างพันธุ์ทิพย์ จำนวน 100 คัน
       13.ห้างพาราเดียม จำนวน 100 คัน
       14.โรงแรมอมารีวอเตอร์เกท จำนวน 100 คัน
       15.ตึกชาญอิสระ 2 จำนวน 50 คัน
       16.อาคารอิตัลไทย จำนวน 50 คัน
       รวมพื้นที่ บก.น. 1 ทั้งหมด 3,050 คัน
      
       17.บิ๊กซี แจ้งวัฒนะ จำนวน 69 คัน
       18.ห้างไอที หลักสี่ จำนวน 1,000 คัน
       19.ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ อาคารบี จำนวน 300 คัน
       20.สนามบินดอนเมือง จำนวน 3,000 คัน (เต็ม)
       21.ห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว จำนวน 3,000 คัน (เต็ม)
       22.ห้างเมเจอร์รัชโยธิน จำนวน 1,200 คัน (เต็ม)
       23.ลานจอด รฟม. (รัชดา-ลาดพร้าว) จำนวน 2,000 คัน
       24.ลานจอดรถบีทีเอส หมอชิตเก่า จำนวน 2,000 คัน
       25.ลานจอดรถจตุจักร จำนวน 1,000 คัน
       26.ลานจอดรถสวนรถไฟ จำนวน 200 คัน
       27.ตึก ปตท.(สำนักงานใหญ่) จำนวน 500 คัน
       28.ธนาคารออมสิน (สำนักงานใหญ่) จำนวน 500 คัน
       29.ห้างเซ็นทรัล รามอินทรา จำนวน 300 คัน (เต็ม)
       30.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำนวน 500 คัน
       31.มหาวิทยาลัยศรีปทุม จำนวน 50 คัน
       32.ห้าง MAX VALUE จำนวน 50 คัน
       33.ตลาดบองมาเช่ จำนวน 100 คัน
       34.ห้างบิ๊กซี วงศ์สว่าง จำนวน 50 คัน
       35.โรงเรียนฤทธิยะ สายไหม จำนวน 200 คัน
       36.โรงเรียนสายไหม จำนวน 50 คัน
       37.โรงเรียนนายเรืออากาศ จำนวน 200 คัน
       38.ลานจอดรถบุญถาวร จำนวน 150 คัน
       39.ลานจอดรถโลตัส นวมินทร์ จำนวน 80 คัน
       40.ถนนคู้บอน (เลียบวงแหวน-แยกคลองสอง) จำนวน 200 คัน
       41.ถนนพระยาสุเรนทร์ (แยกคลองสอง-แยกลำกะโหลก) จำนวน 200 คัน
       42.ถนนเลียบคลองสอง ตลอดแนว จำนวน 150 คัน
       43.ห้าง THE MARKET (ถ.ประชาราษฎร์ สาย 2) จำนวน 20 คัน
       รวมพื้นที่ บก.น. 2 จำนวน 17,069 คัน
      
       44.มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต จำนวน 1,500 คัน
       45.มหาวิทยาลัยมหานคร จำนวน 2,000 คัน
       46.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า จำนวน 2,000 คัน
       47.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำนวน 2,000 คัน
       48.ห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ จำนวน 3,000 คัน
       49.ห้างพันธุ์ทิพย์ บางกะปิ จำนวน 300 คัน
       50.โรงแรมเดอะมอลล์อินน์ จำนวน 50 คัน
       51.ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ จำนวน 1,500 คัน (เต็ม)
       52.ห้างเพรียวเพลส จำนวน 300 คัน
       53.ห้างอมอรินี่ จำนวน 300 คัน
       54.ห้างบิ๊กซีลาดพร้าว จำนวน 2,000 คัน (เต็ม)
       55.ห้างซีคอนสแควร์ จำนวน 1,000 คัน (เต็ม)
       56.ห้างพาราไดซ์พาร์ค จำนวน 600 คัน (เต็ม)
       57.ริมถนนสาย 351 จำนวน 50 คัน
       58.ศูนย์อัญมนีเจโมโปลิส จำนวน 200 คัน
       59.มหาวิทยาลัยรามคำแหง(บางนา) จำนวน 100 คัน
       60.ลานจอดรถ บริษัทนัมเบอร์วัน จำนวน 100 คัน
       61.การกีฬาแห่งประเทศไทย จำนวน 1,500 คัน
       62.ใต้ทางด่วน ระหว่างด่วนศรีรัช-มอเตอร์เวย์ จำนวน 300 คัน
       63.ลานจอดรถร้าน 13 เหรียญ พระรามเก้า จำนวน 300 คัน
       รวมพื้นที่จอดรถ บก.น.4 จำนวน 11,600 คัน
      
       64.ห้างฟิวเจอร์ จำนวน 500 คัน (เต็ม)
       65.ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 3 จำนวน 900 คัน (เต็ม)
       66.ห้างบิ๊กซี เอกมัย จำนวน 1,000 คัน
       67.ห้างจัสโก้ สุขุมวิท 71 จำนวน 800 คัน
       68.ห้างบิ๊กซี ราชดำริ จำนวน 250 คัน
       69.ห้างเซ็นทรัล ชิดลม จำนวน 250 คัน (เต็ม)
       70.ห้างเซ็นทรัล บางนา จำนวน 780 คัน (เต็ม)
       71.เอสบีเฟอร์นิเจอร์ บางนา จำนวน 600 คัน
       72. ห้างบิ๊กซี พระราม 4 จำนวน 200 คัน
       73.ห้างโลตัส พระราม 4 จำนวน 200 คัน
       รวมพื้นที่จอดรถ บก.น.5 จำนวน 5,480 คัน
      
       74.ลานจอดรถ ดิโอลด์สยาม จำนวน 250 คัน
       75.อาคารศรีวรจักร์ จำนวน 100 คัน
       76.อาคารคลองถมเซ็นเตอร์ จำนวน 100 คัน
       77.อาคารจอดรถ ริเวอร์ซิตี้ จำนวน 200 คัน
       78.อาคารจอดรถ เท็กซัส จำนวน 100 คัน
       79.ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ จำนวน 3,000 คัน
       80.ห้างมาบุญครอง จำนวน 1,000 คัน
       81.ห้างสยามพารากอน จำนวน 3,000 คัน
       82.สนามกีฬาแห่งชาติ จำนวน 300 คัน
       83.อาคารจอดรถ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 1,000 คัน
       84.อาคารจอดรถ ตึกเจมส์ทาวเวอร์ จำนวน 100 คัน
       85.โรงแรมมณเฑียร จำนวน 50 คัน
       86.อาคารจอดรถ โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษา จำนวน 50 คัน
       87.อาคารจอดรถ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน จำนวน 50 คัน
       รวมที่จอดรถพื้นที่ บก.น. 6 จำนวน 9,300 คัน
      
       88.ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า จำนวน 2,000 คัน (เต็ม)
       89.ห้างเมเจอร์ ปิ่นเกล้า จำนวน 800 คัน (เต็ม)
       90.ห้างพาต้า ปิ่นเกล้า จำนวน 100 คัน
       91.ห้างโลตัส ปิ่นเกล้า จำนวน 500 คัน
       92.ถนนพุทธมณฑลสาย 1 จำนวน 300 คัน
       93.สนามหลวงธนบุรี จำนวน 500 คัน
       94.อาคารจอดรถ รพ.ยันฮี จำนวน 200 คัน
       95.ห้างตั้งฮั่วเส็ง จำนวน 300 คัน
       รวมพื้นที่จอดรถ บก.น.7 จำนวน 4,700 คัน
      
       96.โรงเรียนอิสลามวิทยาลัย จำนวน 300 คัน
       97.ห้างบิ๊กซี บางปะกอก จำนวน 100 คัน
       98.ห้างโลตัส บางปะกอก จำนวน 100 คัน
       99.ห้างเดอะมอลล์ ท่าพระ จำนวน 100 คัน
       100.ห้างบิ๊กซี ท่าพระ จำนวน 100 คัน
       101.โรงเรียนวัฒนาบริหารธุรกิจ จำนวน 80 คัน
       102.สถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จ จำนวน 100 คัน
       103.ห้างบิ๊กซี จำนวน 100 คัน
       104.คู่ขนานถนนราชพฤกษ์ใต้สะพานบางสะแก จำนวน 300 คัน
       105.โรงแรมมาริออท จำนวน 100 คัน
       รวมพื้นที่จอดรถบก.น. 8 จำนวน 1,380 คัน
      
       106.มหาวิทยาลัยธนบุรี จำนวน 200 คัน
       107.มหาวิทยาลัยเอเซีย จำนวน 500 คัน
       108.มหาวิทยาลัยสยาม จำนวน 200 คัน
       109.ถนนกาญจนาภิเษก ช่องคู่ขนานเข้า-ออก จำนวน 10,000 คัน
       รวมพื้นที่จอดรถบก.น.9 จำนวน 10,900 คัน

ป้องกันรถไม่ให้น้ำท่วม

ช่วงนี้เห็นใจชาวบ้านที่น้ำท่วม แต่ผมมีวิธีป้องกันทรัพย์สินของท่าน ดังนี้ครับ
เริ่มต้นให้วางผ้าคลุมรถไว้ ณ ตำแหน่งที่คุณอยากจะจอดรถเอาไว้เช่น ที่จอดรถบ้านคุณเองเป็นต้น แล้วก็ให้คนจับมุมเอาไว้ทั้งสองฝั่ง ถ้าหากว่าจะให้ง่ายที่สุดผมแนะนำว่า ควรจะมีคนจับมุมทั้งสี่ฝั่งไว้เลยจะทำให้การถอดจอดรถเพื่อเข้าผ้าคลุมรถทำ ได้ง่ายมากๆ หลังจากนั้นก็ให้คนขับถอยรถช้าๆ และเปิดกระจกรถเอาไว้เผื่อว่าจะตะโกนหากันตอนที่ คนจับผ้าโดนรถเหยียบก็จะได้บอกคนขับรถได้ครับ
การถอยรถต้องค่อยๆถอย โดยผ่านมุมเข้าผ้าคลุมช้าๆเป็นแนวเดียวกับผ้าคลุมรถ และ ผ้าคลุมควรจะต้องขึงตึงเอาไว้ เพราะ เราไม่อยากจะให้รถเหยียบผ้าคลุมเอาไว้ เดี๋ยวมันจะยกขอบผ้าคลุมไม่ขึ้นครับ
เมื่อถอยรถได้ตำแหน่งอยู่กลางผ้าคลุมแล้วก็ให้คุณเอาขอบของผ้าคลุมคลุม เอาไว้รอบคัน ทั่วทั้งคันครับ และ สำหรับการป้องกันที่จะทำได้จริง คุณจะต้องติด tape กาวแบบที่เมื่อมีน้ำชะจะต้องไม่หลุดลอกออกมาด้วยครับ แนะนำว่าให้แปะก็แปะทั่วทั้งคันเพื่อความมั่นใจได้ว่า น้ำจะไม่ซัดหรือดึงผ้า หรือไปกร่อนเนื้อกาวเพื่อให้ผ้าคลุมหลุดลอกออกมาได้ง่ายๆ
ผมว่าวิธีการนี้ คือ การใช้ผ้าคลุมรถกันน้ำท่วม โดยเอามาคลุมแบบกลับหัวนั้น น่าจะเป็นทางเลือกที่ทำได้ง่าย ด้วยอุปกรณ์ที่หาซื้อได้จากห้างร้านค้าทั่วไปครับ เลยอยากจะเอามา share ไว้ที่ Blog แห่งนี้ครับ ถ้าหากว่ามีคนได้ลองและได้ทำจริงและ อยู่ในสถานการณ์จริงแล้วได้ผลเห็นผลสำเร็จแล้ว comment ทิ้งเอาไว้ให้ด้วยน่ะครับ ผมจะได้มั่นใจว่า เมื่อน้ำไหลบ่ามาเขตบ้านผม ผมจะเอาผ้ามาคลุมไว้เพื่อป้องกันน้ำซึมเข้าตัวรถครับ



วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โหลดคลิปจาก Youtube ง่ายๆแค่คลิกเดียว!

โหลดคลิปจาก Youtube ง่ายๆแค่คลิกเดียว!                  
ท่านที่ใช้ Firefox และเข้าใช้งาน Youtube เป็นประจำ เคยอยากโหลดคลิปมาเก็บไว้ดูแบบ offline บ้างไหมครับ เพราะด้วยเหตุที่ว่า Internet ในประเทศของเราอาจจะช้าเสียจนรอ Streaming กันจนหลับกันไปข้าง ทีนี้การหาโปรแกรมมาดาวโหลดก็ยุ่งยากอีก วันนี้เราเลยมีทิปสั้นๆในการดาว์โหลด Youtube มานำเสนอ แบบไม่ต้องลงโปรแกรมใดๆเพิ่มทั้งสิ้น แค่ลง Add-ons บน Firefox เท่านั้น! ว้าว!!!
ขั้นแรกคือเปิด Firefox ขึ้นมาก จากนั้นกด Alt เพื่อให้ Menu Bar ปรากฎ จากนั้นไปที่ Tools > Add-ons
จากนั้นจะพบหน้า Tab ที่ชื่อว่า Add-ons Manager จากนั้นที่ช่อง Search มุมบนขวาให้ใส่คำว่า "easy youtube" จะเจอกับ Add-ons ที่ชื่อว่า Easy Youtube Video Downloader จากนั้นกด Install
เมื่อ Install เสร็จเรียบร้อย ให้ปิด Firefox แล้วเปิดใหม่อีกครั้ง ทีนี้เมื่อเวลาเข้าหน้าวิดีโอบน Youtube ก็จะปรากฏปุ่มที่เขียนว่า Download (ต่อจากปุ่ม Share) ซึ่งเมื่อกดเข้าไป จะมีตัวเลือกให้ดาวน์โหลดวิดีโอตามความละเอียดและ Format ต่างๆ กัน ซึ่งสามารถ Save วิดีโอออกมาได้โดยตรง ง่ายและสะดวกรวดเร็ว ได้ทั้งแบบนามสกุล .flv และ .mp4
*หมายเหตุ : ในกรณีที่เข้าหน้า Channel ของ Youtube จะมองไม่เห็นปุ่มสำหรับ Download ให้เลือกเปิดวิดีโอที่ต้องการจาก Chanel มาที่ Tab ใหม่อีกทีหนึ่ง ถึงจะมองเห็นปุ่มดาวน์โหลด

ที่มา arip.co.th

หาลูกค้าเรื่องง่ายๆ

การหาลูกค้าสำหรับตัวแทนใหม่นั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับตัวแทนรุ่นเก๋านั้น เป็นเรื่องง่ายเสมอ มาดูกันครับเทคนิคที่รุ่นพี่ทำกัน เป็นฝ่ายร...