วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

National E-Payment จะเปลี่ยนชีวิตคนไทย.



นี่เป็นอีกหนึ่ง ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ผู้บริหารฝากมาให้ พวกเรา อ่าน ลองอ่านและ ลองนำมาใช้ประโยชน์ในการปรัปเปลี่ยนตัวเราดูครับ โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนให้ทันโลกครับ


เคยไหม? เวลาเดินทางไปฮ่องกงหรือสิงคโปร์ แล้วเห็นคนของเขาใช้ชีวิตที่ทันสมัย เวลาซื้อของหรือขึ้นรถไฟฟ้าก็จ่ายด้วยบัตร(เดบิต) ชีวิตง๊ายง่ายคุณรู้ไหมเมืองไทยเราก็กำลังจะเป็นอย่างนั้น ด้วยนโยบาย National E-Payment ที่ผ่านการเห็นชอบของรัฐบาลแล้วตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2558 (อ้างอิง thaigov.go.th)

Cashless Society กำลังจะเกิดขึ้น

ปัจจุบัน เงินสดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของธุรกรรมทางการเงินของไทย ซึ่งความเป็นจริงมีต้นทุนซ่อนเร้นอยู่จำนวนมาก เช่น ร้านค้าเมื่อรับชำระเป็นเงินสดแล้วก็เป็นช่องทางให้ พนักงานทุจริตได้ (แอบเอาเงินใส่กระเป๋า) หรือเมื่อนำเงินไปส่งธนาคาร ธนาคารก็มีต้นทุนจ้างพนักงานคอยรับเงิน นับเงิน ตรวจแบงค์ปลอม เก็บและนำส่งกลับจากสาขา เคยสงสัยไหมว่า ค่าขนเงินสดด้วยรถนิรภัยใครเป็นคนจ่าย? เมื่อขนกลับมายังต้องคัดทำลายแบงค์เก่า และพิมพ์แบงค์ใหม่อีก ไม่งั้นจะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคได้นะ
ใครกันหนอ จ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้ คำตอบคือ พวกเราทุกคนนั่นแหล่ะ

เพราะอย่างนี้เองที่ทุกฝ่ายอยากผลักดันให้เราปรับเป็น Cashless Society คือสังคมที่ใช้เงินสดน้อยลง นั่นคือ ปรับไปใช้บัตรเครดิต, บัตรเดบิต, และแอปบนมือถือ ให้ทำธุรกรรมทางการเงินได้ทดแทนเงินสด

ภาครัฐเอาจริงผ่าน 5 โครงการหลัก
ความชัดเจนของภาครัฐมีมาอย่างต่อเนื่องผ่าน 5 โครงการ อันประกอบด้วย
1. Any ID ที่ให้ประชาชนใช้บัตรประชาชนผูกกับบัญชีธนาคารและ
ทำธุรกรรมได้ หรือผูกกับเบอร์โทรศัพท์และอีเมล์ก็ได้

2. เพิ่มเครื่องรับบัตร EDC ตามร้านค้าต่างๆ จาก 3 แสนเครื่องเป็น 2 ล้านเครื่องภายในปี พ.ศ. 2560 (ซึ่งจะเริ่มล็อตแรกตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2559 นี้แล้ว)

3. ระบบภาษีอิเล็คโทรนิกส์ของกรมสรรพากร ที่จะส่งเสริม และ/หรือ บังคับ ให้ทุกธุรกิจต้องมีทางเลือกการรับชำระแบบ e-Payment และส่งข้อมูลโดยตรงให้กับกรมฯ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของงานเอกสารไปได้มาก

4. บังคับการรับชำระของภาครัฐด้วย e-Payment แทนเงินสด เช่น การชำระค่าใบขับขี่ ที่อาจไม่อนุญาตให้จ่ายด้วยเงินสดเลย แต่ต้องจ่ายผ่านบัตร National Debit Card เท่านั้น

5. โครงการประชาสัมพันธ์ให้เกิดการรับรู้และเข้าใจ และส่งเสริมให้เกิดการใช้งานจริง เช่น รณรงค์ผ่านการชิงโชคเมื่อมีการชำระด้วย e-Payment ต่างๆ

ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในขั้นกำหนดรายละเอียดและแก้ไขกฎหมาย
ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนหรือคนค้าขายจะเริ่มเห็นผลได้ ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป

Fintech หรือ บัตร Debit Card อะไรจะมาก่อนกัน
เมื่อเงินสดจะถูก(บังคับ)ให้ใช้น้อยลง แล้วอะไรกันแน่ที่จะมาแทน ถ้าคุณไม่ได้ติดตามข่าวสารก็คงจะคิดว่า ต้องเป็นบัตรเครดิตแน่ๆเลย … “ผิด อย่างยิ่งเลยครับเพราะบัตรเครดิตนั้นก็มีต้นทุนแอบแฝงเช่นกัน เพราะจะมีค่าบริการส่วนหนึ่งที่ถูกหักหัวคิวไปให้
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบัตรเครดิต ปีๆหนึ่ง หลายพันล้านบาท
ภาครัฐและธนาคารจึงกำลังผลักดันไปสู่ บัตรเดบิตซึ่งคาดว่าจะประกาศความร่วมมือเรื่อง
National Debit Card กันเร็วๆนี้ และเปิดกว้างให้บัตรเดบิตนี้เชื่อมโยงการชำระต่างๆ  เข้าด้วยกัน เช่น ค่าสาธารณูปโภค, ค่าเดินทาง, และร้านค้าทั่วไป เรียกได้ว่า บัตรเดียวเอาอยู่แม้แต่เทคโนโลยีที่ถูกเลือกใช้ที่เป็น Chip-and-Pin ก็เป็นส่วนที่ช่วยป้องกันปัญหาการทุจริต หรือ การลักขโมยได้ด้วย นำไปสู่ค่าบริการที่จะถูกลงอีก

อะไรก็ดีไปหมด แต่เดี๋ยวก่อน… Fintech ก็จะมาเบียดเช่นกัน ทั้งธนาคารและ Fintech Startup ก็กำลังแข่งกัน (หรือร่วมมือกัน) ออกแอป e-Wallet ที่ใช้โทรศัพท์แทนกระเป๋าเงินไปเลย เรียกได้ว่ากระโดดข้ามบัตรเดบิตไปอีกขั้นเลย จะโอนเงินก็ง่าย จะจ่ายก็แค่เอามาทาบที่เครื่องอ่าน NFC ก็ทำได้

เอาเป็นว่า ถ้าเด็กที่เกิดมาหลังจากปี พ.ศ. 2562 อาจแทบไม่เคยใช้เงินสดกันเลยก็ได้ และคงมาถามพ่อแม่ว่า เงินสดคืออะไรคับ

E-Payment เปลี่ยนชีวิตคุณในปีนี้แน่ๆ
กลางปี พ.ศ.2559 จะเห็นร้านค้าจำนวนมากมีเครื่องรับชำระเงิน EDC และประชาชนจะถูกรณรงค์ให้มีบัตรเดบิต และได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เมื่อชำระเงินด้วยบัตรเดบิตหรือบัตรประชาชน ส่วนภาครัฐเองก็มีช่องทางการช่วยเหลือประชาชน ผู้ยากไร้ได้โดยตรง โดยโอนเงินเข้าไปที่บัตรประชาชน เช่น เมื่อมีภัยแล้งก็โอนเงินให้ชาวนาได้โดยตรง (ชาวนาไม่ต้องมีบัญชีธนาคารก็ได้) ซึ่งจะช่วยขจัดการทุจริตของเส้นทางการจ่ายไปได้ด้วย หรือ คนทำงานเมื่อขอคืนภาษีก็จะได้รับเงินมาที่บัตรประชาชน ตามโครงการ Any ID เช่นกัน


คนเหล่านี้เลือกได้ที่จะโอนเงินออกจากบัตรทันที หรือเก็บเงินไว้แล้วนำไปใช้จ่ายตามร้านค้าต่างๆ ที่มีเครื่อง EDC กว่า 2 ล้านเครื่องทั่วประเทศ ไม่ว่าจะไปซื้อปุ๋ย ซื้อของร้านโชว์ห่วย หรือซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้างก็ตาม และธุรกรรมทั้งหมดก็ถูกส่งโดยอัตโนมัติเป็น ข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ไปที่กรมสรรพากรโดยตรง บริษัทห้างร้านต่างๆไม่ต้องส่งเอกสารที่เป็นกระดาษให้ยุ่งยาก และสิ้นเปลือง หรือจะนำเงินนั้นมาจ่ายเมื่อไปธุรกรรมกับภาครัฐก็ได้ เช่น เมื่อไปขอใบรับรองบริษัท หรือธุรกรรมอื่นใด

1 ความคิดเห็น:

หาลูกค้าเรื่องง่ายๆ

การหาลูกค้าสำหรับตัวแทนใหม่นั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับตัวแทนรุ่นเก๋านั้น เป็นเรื่องง่ายเสมอ มาดูกันครับเทคนิคที่รุ่นพี่ทำกัน เป็นฝ่ายร...