พูดกับลูกอย่างไรให้ลูกร่วมมือและยอมทำตาม
หลายท่านคิดว่า แค่ความรักก็เพียงพอ จะพูดอย่างไรก็ได้ ซึ่งในความจริงแล้ว
การสื่อสารกับลูกเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเด็ก
เราอาจสร้างบาดแผลตราบาปหรือความปวดร้าวให้แก่เขาโดยไม่รู้ตัว และนำผลร้ายมาสู่เขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
บ่อยครั้งไหมที่ท่าน ตะคอกใส่ลูก กระเนะกระแหน
และพูดจาดูถูกลูก?บ่อยครั้งไหมที่ท่าน ป้ายความผิด ทำให้เขาอับอาย กล่าวหา เยาะเย้ย ถากถาง ข่มขู่ติดสินบน ตราหน้า ทำโทษ
และเทศนาพร่ำบ่น เพื่อสอนลูก เพราะคำพูดของพ่อแม่ เปรียบเเหมือนมีดโกน
ที่สามารถทำให้เกิดบาดแผลร้ายแรงทางจิดใจหากมิได้ระวังเหตุใดเราถึงทำเช่นนี้ เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่า คำพูด
ของตนเองมีอานุภาพที่ทำลายล้างที่ร้ายแรงเพียงใด เพราะเราขาดความรู้และความเข้าใจ ดังนั้น
พ่อแม่ต้องหาวิธีในการพูดจากเพื่อสร้างสัมพันธ์กับลูก
จงยินยอมผ่อนปรนกับความรู้สึกของเด็ก
แต่กวดขันหรือเข้มงวดในเรื่องพฤติกรรมของเขา การบ่นและบังคับลูกไม่ได้ก่อประโยชน์อะไร จะทำให้ลูกโกรธและต่อต้าน
หากเราเข้าใจในมุมมองของเขาให้เขามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ใช้ไม้แข็งเมื่อการจัดการกับพฤติกรรมของเด็ก
ใช้ไม้อ่อนกับความรู้สึก ความปรารถนา ความต้องการ และจินตนาการของพวกเขา เด็กทำตามแรงกระตุ้นภายในของเขา พ่อแม่คอยช่วยเหลือ
เด็กนั้นต้องมีคำจำกัดความที่ชัดเจนว่าพฤติกรรมใดเป็นสิ่งที่พ่อแม่ยอมรับได้
และรับไม่ได้ เมื่อเด็กรู้ขีดจำกัดตนเองแค่ไหน เขาจะรู้ว่าเขามีความมั่นคงมากขึ้น
การเลี้ยงลูกที่มีประสิทธิภาพและความรักนั้นพ่อแม่ต้องรู้จักการสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจ การพูดนั้น ต้องเป็นคำพูดที่ปราศจาก
ความไม่สนใจไยดี ปฏิเสธ วิพากษ์วิจารณ์ ดูถูกดูแคลน
ฉุนฉียวต่อไปนี้เป็นคำแนะนำ ครับ
1.เปิดใจรับฟัง
ฟังความรู้สึกที่ลูกต้องการบอกจากคำพูดของเขา ว่าลูกรู้สึกและมีปัญหาอะไร ทำให้ได้เห็นมุมมองและเข้าใจในประเด็นสำคัญที่เด็กต้องการสื่อ เป็นวิธีพูดที่แสงความเคารพในตัวเด็ก
ทำให้เด็กเห็นว่าเราสนใจในคำพูดเขาอย่างจริงจังเช่น เมื่อได้ฟังเขาพูด เช่น “โอเค แม่เข้าใจแล้ว ขอบใจลูกมาก
ที่บอกแม่ว่าลูกรู้สึกอะไรอยู่ แม่ได้รู้ว่านั่นเป็นความคิดเห็นลูก
ขอบใจที่บอกแม่นะ “
2.อย่าปฏิเสธความคิดเห็นของลูก อย่าโต้เถียงกับความรู้สึกของเขา
อย่าละเลยความปรารถนาของเขา
อย่าหัวเราะเยาะ รสนิยามของเขา
ดูแคลนความาเห็น อย่าลดคุณค่าในตัวเขา
อย่าโต้แย้งกับประสบการณ์ของเขา แต่ให้รับฟัง
เช่น
ถ้าเด็กโอดครวญไม่อยากอาบน้ำเพราะน้ำเย็นมาก
ผิด: ไม่หรอก ไม่เห็นเย็นเลยสักนิด
ถูก: ลูกรู้สึกไม่สบาย
แถมน้ำก็ดูเย็นมาก ลูกยังไม่อยากอาบน้ำใช่ไหมลูก
3.แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์
ให้ชี้แนะและกล่าวถึงปัญหาและเสนอหนทางแก้ไข
อย่าพูดอะไรในเชิงลบเกี่ยวกับตัวเด็ก
ผิด: “ลูกไม่มีความรับผิดชอบเลยนะ
ขี้หลงขี้ลืมเรื่อย ทำไมไม่คืนหนังสือห้องสมุดตรงวันที่กำหนดนะ”
ถูก: “ลูกต้องเอาหนังสือไปคืนห้องสมุดนะ มันเลยวันที่กำหนดคืนแล้ว “
4.เวลาโกรธ ให้พูดอธิบายสิ่งที่เห็น
ความรู้สึกที่มี และสิ่งที่คาดหวัง
โดยเริ่มต้นประโยคด้วยสรรพนามบุรุษที่หนึ่
เช่น แม่ โกรธ แม่หงุดหงิด แม่ตกใจมากเลย หลีกเลี่ยงคำพูดโจมตีตัวเด็กโดยตรง เช่น
ผิด: จะบ้าไปแล้ว ลูกอาจทำให้เพื่อนหัวแตก
ถูก :พ่อโกรธและเสียใจมาก เราไม่ปาก้อนหินใส่คนนะ คนไม่ได้มีไว้ให้ทำร้าย
5.จงชมในสิ่งที่เขาทำ อย่างชัดเจน
เมื่อคุณต้องการบอกลูกว่าคุณชื่นชมในตัวเขาหรือความพยายามของเขา
อย่าพูดเชิงประเมินตัวตนหรือบุคลิกลักษณะของเขา เช่น
ผิด:”ลูกทำได้ดีมาก เป็นเด็กที่ทำงานหนัก ลูกเป็นแม่บ้านที่ดีในอนาคต “
ถูก : “ลูกเรียงจานและแก้วเป็นระเบียบมาก ตอนนี้แม่หยิบหาอะไรได้ง่าย
ลูกช่วยงานแม่ได้เยอะมาก แม่ขอบใจลูกมากนะ
“
6.เรียนรู้การพูดคำว่าไม่ ด้วยวิธีการที่ไม่ทำร้ายจิตใจ
โดยยอมให้เด็กได้จินตนาการใสสิ่งที่เราไม่ยอมในโลกความเป็นจริง เพระเด็กยังแยกแยะระหว่างความจำเป็น
และสิ่งที่เขาต้องการ
ยอมรับในความปรารถนาของเด็ก
โดยอธิบายว่าคุณเข้าใจความต้องการของเขา เช่น หากลูกต้องการได้รถใหม่
ผิด ไม่ได้
ลูกก็รู้ว่าเราไม่มีเงินพอที่จะซื้อ
ถูก โอ
พ่ออยากซื้อรถจักรยานให้ลูกจังเลย
พ่อรู้ว่าลูกชอบขึ่รถเที่ยว
แล้วขี่ไปโรงเรียน
มันทำให้ชีวิตลูกสบายขึ้น
แต่ตอนนี้งบประมาณเราไม่พอนะลูก เดี่ยวให้พ่อคุยกับแม่ก่อนนะ ว่าจะซื้อให้ลูกได้หรือไม่ หรือ
พ่อก็อยากจะมีตังส์ ซื้อให้ลูก
7.เปิดโอกาสให้มีทางเลือก และได้แสดงความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา เช่น
“เวลาเข้านอนของลูกคือระหว่างหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม
ลูกตัดสินใจเอาเองว่าลูกง่วงเมื่อไหร่ ลูกก็เข้านอนเมื่อนั้น