วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

เหตุผล 8 ข้อที่สำคัญที่คนไทยควรต้องวางแผนทางการเงิน

          
1.คนอายุยืนขึ้น   ปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ย  71 ปี  แต่ถ้าเราเก็บสถิติเฉพาะคนไทยที่อายุ  60  ปีขึ้นไป  จะพบว่าท่านเหล่านั้นจะอยู่ได้อีกประมาณ  20  ปี  (  ข้อมูลจากสถาบันประชากรและสังคม ม.มหิดล  )   ดังนั้น  จึงเป็นเรื่องน่าคิดว่า  ช่วงเวลาหลังเกษียณที่ต้องอยู่อีกตั้ง 20 ปี  เราจะอยู่กันอย่างไร  ถ้าไม่มีการวางแผนการเงินที่ดีพอ

2.โครงสร้างสังคมเปลี่ยนไป   เดิมคนไทยอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่    ปัจจุบันแยกย้ายกันอยู่  เป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น การคาดหวังให้ลูกหลานเลี้ยงดู  เป็นเรื่องที่หวังได้น้อยลง  เราจึงต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ

3.ค่าครองชีพในอนาคตจะสูงขึ้นมาก     ข้าวของในท้องตลาดมีราคาสูงขึ้นทุกวัน  อีก  20-30  ปีข้างหน้าในวันที่เราเกษียณ  สินค้าที่จำเป็นอาจแพงขึ้นอีก  1-2  เท่าตัว  โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาล  ที่มักมีอัตราการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายมากกว่าเงินเฟ้อเสมอ"การมีเงิน 3 ล้านในวันนี้ กับใน 10 ปีข้างหน้ามูลค่าก็แตกต่างกัน เราอาจจะคิดว่าเรามีแค่ 3 ล้านน่าจะพอ อาจจะไม่พอก็ได้ เพราะคุณไม่สามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวชามละ 20-30 บาทได้อีกต่อไป"
  ดังนั้นงบประมาณที่เราเตรียมไว้อาจไม่เพียงพอ  ถ้าไม่ได้คำนวนเผื่อค่าเงินเฟ้อไว้ด้วย

4.สวัสดิการของรัฐไม่เพียงพอแน่     ในอีก  15  ปีข้างหน้า  สัดส่วนของประชากรที่มีอายุ  60  ปีขึ้นไปจะเพิ่มเป็น  20%   นั่นหมายความว่า 1 ใน 5 ของคนไทยจะเป็นคนสูงอายุ  ขณะที่สัดส่วนของคนวัยทำงานต่อคนสูงอายุจะลดลงจาก  6:1  ในปัจจุบันเป็น  3:1  ในปี  2021  ทำให้ภาษีที่รัฐเก็บได้จะไม่เพียงพอต่อการจัดหาสวัสดิการให้คนสูงอายุ  หรือหากทำได้ก็เป็นแบบพื้นๆเท่านั้น

5.ผลิตภัณฑ์ทางการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้น      สมัยก่อนการฝากเงินในธนาคารให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจและมีความมั่นคงสูง  เดี๋ยวนี้ดอกเบี้ยเงินฝากลดน้อยลงมาก  ขณะที่ช่องทางการลงทุนใหม่ๆมีให้เลือกหลากหลายมากขึ้น  แต่ก็มีรูปแบบและความเสี่ยงแตกต่างกันออกไป  การทำความเข้าใจและรู้จักวางแผนการลงทุนให้ถูกต้องเหมาะสมกับแต่ละบุคคล  จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
6.ทำให้เราสามารถเกษียณอายุได้เร็วขึ้น    หากมีการวางแผนที่ดีและเริ่มต้นเร็ว  ย่อมบรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่า  ไม่ว่าจะเป็นเงินออมที่เก็บได้มากขึ้น  ดอกเบี้ยทบต้นที่สูงขึ้น  หรือการสามารถหาประโยชน์จากโอกาสดีๆที่บังเอิญผ่านเข้ามา  เพราะเรามีเงินออม  เงินก้อนที่เก็บเอาไว้  เช่น  ซื้อที่ดินทำเลสวยจากคนที่ร้อนเงิน  หรือ  ซื้อหุ้นพื้นฐานดีที่ราคาตกลงมามากเกินควร

7.ช่วยรองรับความเสี่ยงของชีวิตได้มากขึ้น     ชีวิตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน  เราอาจโชคร้าย  เจ็บป่วย  หรือ  เกิดอุบัติเหตุหนักๆขึ้นได้   แต่ถ้าเรามีการวางแผนการประกันภัยไว้  ย่อมสามารถบรรเทาภาระต่างๆลงได้  หรือ  เราเกิดตกงานกระทันหัน  มีคนในครอบครัวป่วย  การมีเงินเก็บสำรองไว้  ย่อมหลีกเลี่ยงความยุ่งยากจากการต้องไปกู้หนี้ยืมสินเงินกู้นอกระบบลงได้


8.เพราะเป็นเข็มทิศสู่ความสำเร็จ & อิสรภาพทางการเงิน    "เมื่อรู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน" เราก็ควรจะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท มีสติอยู่ตลอด การ วางแผนการเงิน ถือว่าเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตของคนที่มีสติและปัญญา มีเหตุผล รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และพร้อมรับมือกับปัญหาความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น นั่นทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย และเดินตามเป้าหมายอย่างถูกทาง ซึ่งท้ายสุดคนที่วางแผนการเงิน ก็จะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
แน่นอนว่าคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตต้องอาศัยหลายปัจจัยประกอบกัน แต่ต้องยอมรับว่า การวางแผนเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คุณก้าวไปสู่เส้นชัยของอิสรภาพทางการเงินได้"  ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลดีๆ ที่น่าจะจูงใจให้คุณหันมาลงมือวางแผนการเงินกันตั้งแต่วันนี้

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

เลี้ยงลูกให้ดีเป็นวัคซีนทางใจ

ปัจจุบันพ่อแม่จำนวนมากเลี้ยงลูกด้วยความรัก
แต่ไม่ได้ฝึกฝนให้เด็กมีภูมิต้านทานต่อความทุกข์
เพราะไม่เคยเปิดโอกาสให้ลูกเผชิญต่อปัญหา
ในระดับที่เหมาะสมต่อวัยวุฒิของเขา
เมื่อโตขึ้นจึงขาดทักษะในการจัดการกับ
ปัญหาของชีวิต
วัคซีนทางใจ ๓ ประการ ที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นในการเลี้ยงดูของพ่อแม่และการศึกษาจากครูอาจารย์ เป็นไปเพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมในการดำเนินชีวิต ได้แก่
๑. ความนับถือตนเอง
๒. วุฒิภาวะ
๓. การแสวงหาความสุขในชีวิต

ความนับถือตนเอง
ความนับถือตนเอง (self-esteem) คือการตระหนักรู้ในคุณค่าที่มีในตนเอง นำไปสู่ความภาคภูมิใจ
พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ ก็คือ ความรักในตนเองŽ รักตัวเองให้เป็น ก็ต้องเห็นตัวเองให้ชัด
วิธีการเลี้ยงลูกให้พัฒนาความนับถือตนเองมี ๓ ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
๑. รู้ศักยภาพของตนเอง ว่าเรามีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ เรียนวิชาไหนแล้วชอบหรือมีความสุข ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีลักษณะนิสัยหรือศักยภาพไม่เหมือนกัน การเลี้ยงดูหรือการศึกษาจึงต้องพัฒนาความสามารถให้ตรงกับตัวเด็กมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือหรือเลือกคณะวิชาไปตามกระแสค่านิยมของสังคม ซึ่งอาจไม่ตรงกับใจตัวเอง
๒. กำหนดจุดมุ่งหมายของชีวิต คุณสมบัติของจุดมุ่งหมายนั้นต้องมีคุณสมบัติ ๒ อย่างคือ
- มีความทัดเทียมกับศักยภาพของตนเอง ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ถ้าสูงเกินไปก็เป็นฝันกลางวัน ถ้าต่ำเกินไปก็เป็นการดูถูกตัวเอง
- ต้องสามารถกำหนดเป็นมโนภาพ (visualization) ในใจว่าในอนาคตโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร บังเกิดเป็นแรงดลบันดาลใจและมีพลัง
๓. ขยัน มุมานะ พากเพียรพยายาม (effort) เพื่อเป็นพลังหรือแรงขับดันให้ชีวิตมุ่งมั่นสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ ตรงข้ามกับความขี้เกียจหรือรักสนุก ชอบสบาย (comfort)

การพัฒนาทั้ง ๓ ขั้นตอน จะนำไปสู่ความสำเร็จ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความภูมิใจในตนเอง นำไปสู่สภาวะจิตที่ สูงส่ง และไม่ดึงชีวิตตัวเองไปสู่ความเสื่อม เช่น เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน ติดยาเสพติด มีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน ฯลฯ
อุปสรรคอย่างหนึ่งของการพัฒนาความนับถือตนเอง คือระบบการศึกษาที่เน้นคนเรียนเก่ง เช่น สอบได้ที่ ๑ ถึงที่ ๓ หรืออย่างน้อยก็ต้องได้เลขตัวเดียว จึงจะเป็นที่ชื่นชมของพ่อแม่และครูอาจารย์
ในขณะที่นักเรียนอีก ๓๐-๔๐ คนที่เหลือในห้องก็ไม่สามารถเกิดความปีติสุขจากการเรียนรู้
ผลที่สุดคือ การรวมกลุ่มของเด็กที่ไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษา จึงไปแสวงหาความสุขจากทางอื่น เช่น ขับรถซิ่งแข่งกัน มีเซ็กซ์เก็บแต้ม คุยโม้โอ้อวดเรื่องการใช้สินค้าแบรนด์เนม หาแฟนรวย ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความรู้สึกว่าตนยังมีคุณค่าอยู่ อย่างน้อยก็ได้รับการยกย่องจากสมาชิกใน "สังคมเล็กๆ"Ž ของตนเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าลูกเรียนหนังสือไม่เก่ง แทนที่จะถูกซ้ำเติมจากพ่อแม่ด้วยคำพูดในทางลบ ผู้ปกครองควรให้กำลังใจและมีความคิดในทางบวกต่อตนเอง เช่น

ถึงแม้ว่าลูกจะสอบได้คะแนนน้อย แต่ลูกยังมีความสามารถอีกหลายอย่างที่การสอบไม่ได้วัดผลŽ
ความสามารถอีกหลายอย่างนั้น ถ้าเขายังไม่เห็น พ่อแม่ต้องเห็นได้จากการสังเกต และเราจะสังเกตรู้ได้ว่าลูกมีศักยภาพอะไร ก็ต่อเมื่อเราได้มีเวลาใกล้ชิดและรับฟังสิ่งที่เขาเปิดเผย แทนที่จะคิดว่าลูกจะต้องรับฟังและเชื่อฟังเราฝ่ายเดียว
วุฒิภาวะ
วุฒิภาวะ (maturity) คือความสามารถในการยับยั้งชั่งใจหรือควบคุมอารมณ์ความต้องการของตนเอง
พูดภาษาวัยรุ่น วุฒิภาวะ แปลว่า ความสามารถที่สมองส่วนคิดทำงานมากกว่าสมองส่วนอยาก เพราะฉะนั้นต้องฝึกตอนที่สมองส่วนอยากทำงาน
๑. เมื่อลูกอยากได้อะไร ต้องพูดคุยกันว่าจำเป็นหรือไม่
ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ก็ต้องยอมรับว่าไม่ควรได้ ไม่ควรมี
๒. หากจำเป็นแต่มีข้อจำกัด ก็หาทางออกอย่างอื่นเพื่อตอบสนองเท่าที่ทำได้
ถ้าไม่มีเงินก็ไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้าของเสมอไป เราสามารถเช่าหรือใช้บริการจากแหล่งบริการมากมายที่มีในสาธารณะ
๓. ถ้าจำเป็นต้องมีต้องได้ ก็อย่าเพิ่งรีบซื้อให้ทันที
ต้องฝึกให้เด็กรู้จักการรอ (delay immediate gratification) หรือตั้งเงื่อนไขให้เป็นรางวัล ถือเป็นการฝึกวินัยในตนเอง (self discipline)

ถ้าหากลูกอยากได้อะไร แล้วพ่อแม่ตอบสนองหามาให้ในทันที เด็กจะไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะรอ เขาจะเคยชินต่อการตอบสนองความต้องการของตนเอง ในที่สุดเมื่อเด็กควบคุมความต้องการของตนไม่ได้ แล้วจะคาดหวังให้เขายับยั้งชั่งใจในเรื่องทางเพศได้อย่างไร
พ่อ
แม่หลายคนปรนเปรอลูกด้วยวัตถุหรือการเสพสาเหตุ ๒ ประการที่พบบ่อย ได้แก่
-ไม่ต้องการให้ลูกเผชิญความผิดหวัง ซึ่งเคยเกิดกับตัวพ่อแม่ในวัยเด็ก อยากได้อะไรก็ไม่เคยได้
-ชดเชยความรู้สึกผิดที่เรามีเวลาใกล้ชิดเขาน้อยเกินไป จึงตอบแทนเด็กด้วยของเล่นหรือเงินทอง
ผู้ใหญ่จำเป็นต้องเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ไม่ถูกครอบงำด้วยกระแสบริโภคนิยมเสียก่อน ไม่ถูกชักจูงง่ายจากสื่อโฆษณา เด็กจึงจะ "เลียนและรู้"Ž     รูปแบบของการใช้ชีวิตที่ไม่เน้นการแสวงหาวัตถุเพื่อสร้างความสุขให้แก่จิตใจ

การแสวงหาความสุขในชีวิต
ความสุขมีรูปแบบที่หลากหลาย แบ่งเป็น ๔ ระดับ เรียกว่า"๔ ระดับของความสุข จากสนุกสู่สงบ"

๑. มีกิจกรรมสนุกสนานจากกิจกรรมบันเทิงได้รับความเอร็ดอร่อยจากการเสพทางตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง มักจำเป็นต้องซื้อหาด้วยเงิน หากไม่รู้จักควบคุมการเสพ ก็นำไปสู่ความทุกข์ร้อนเรื่องหนี้สิน
๒. การเสพสุนทรียภาพของงานศิลปะโดยไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้าของ แต่ชื่นชมจนนำไปสู่ความปีติ อิ่มเอิบ เบิกบาน และเกิดแรงดลบันดาลใจในชีวิต
๓. ความสงบสบายจากการใกล้ชิดธรรมชาติ
ท่ามกลางธรรมชาติ ย่อมโน้มนำใจให้ผ่อนคลายสดชื่น และเย็นใจ พร้อมความรู้สึกสำนึกในบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของ ธรรมชาติ จนมิอาจคิดถึงเรื่องการทำลายหรือความโลภ

๔. การดำเนินชีวิตอย่างพิจารณา
มีสติในกิจวัตรประจำวันและการทำงาน ในที่สุดเราจะบังเกิดความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต จนในที่สุดจิตของเราที่พัฒนาจนผ่อนคลายจากการยึดติดในสิ่งต่างๆ นำไปสู่การดำเนินชีวิตไม่เป็นทุกข์


ขอขอบคุณ หนังสือ หมอชาวบ้าน นพ.สุกมล วิภาวิพลกุล

สาเหตุที่ผู้หญิงส่วนใหญ่โสด


ในฐานะผู้ชายดีๆ ที่หายากคนหนึ่ง ผมรู้สึกเห็นใจสตรีเพศจริงๆครับ… ช่วงเวลาในการเลือกคู่ของเธอทั้งหลายช่างสั้นยิ่งนัก เพราะช่วงอายุขัยของวัยสาวเริ่มผลิบานเมื่อประมาณ 13 ปี แล้วมาสุดเขตแดนเมื่อวัยสามสิบ… วันเกิดครบรอบ 30 จึงเป็นตัวเลข! แห่งความสะเทือนขวัญ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก…
หลายคนไม่อยากพูดถึง คนอื่นก็ไม่ควรเอ่ยปากด้วย… ถือเป็นมารยาทสังคมอย่างหนึ่ง ยกเว้นพวกมีวาจาเป็นอาวุธ ที่ชอบถามว่า 'ปาอะไรเอ่ยที่ผู้หญิงกลัวที่สุด ' เฉลย ' ปาเข้าไปสามสิบยังไม่มีผัว ' …
ใครดันถาม มันผู้นั้นสมควรตาย



ตอนเรียนหนังสือเป็นนักเรียนนักศึกษา คุณพ่อคุณแม่ก็สอนนักสอนหนาว่า
' อย่าริรักในวัยเรียน ' 'ตั้งใจเร ียนหนังสือให้ดี จบแล้วค่อยมีแฟน '
ทั้งๆ ที่ไอ้ตอนเรียนหนังสือมีโอกาสพบปะเพศตรงข้ามมากหน้าหลายตา
ก็หาได้สนใจไม่ เป็นคนประเภท ' รักไม่ยุ่ง มุ่งแต่เรียน '
ทุ่มเทชีวิตให้แก่การศึกษา…เมื่อเติบใหญ่เราจะได้มีวิชา เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน

หลังจบการศึกษา ประกอบสัมมาอาชีวะ ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาว่าง เลือกสรร ควานหา ผู้จะมาเป็นเจ้าบ่าวในอนาคต
ตั้งสเปกว่าต้องได้แฟนหนุ่มประเภท ซูเปอร์เพอร์เฟค อย่างวิลลี่ แมคอินทอชหรือจอห์นนี่ แอนโฟเน่ หรืออย่างน้อยๆ
ก็ต้องมาดแมนแฮนซั่ม หล่อล่ำดำขรึม ถึง จะได้มาตรฐาน… ไอ้ประเภทหุ่นอัฟริกา หน้าติมอร์
อย่าได้สะเออะหน้ามาให้เห็น…ไม่มีทางได้แอ้มหรอก

จากวันเป็นเดือน - จากเดือนเป็นปี ความรักไม่มีวี่แววคืบหน้าแม้วันเวลา

ผ่านไป… เพราะที่ทำงานทั้งห้องมีผู้ชายอยู่แค่ 5 คน -
เจ้านายก็! มีเมียแล้ว… ไม่อยากตกเป็นภรรยาบุญธรรม
สองคนดันเป็นเกย์… อีกคนยังลังเลอยู่ว่าจะเป็นดีหรือเปล่า…
คนสุดท้ายเป็นชายแท้
แต่กำลังถูกแย่งตัวระหว่างเกย์สองคนอยู่
ไม่อยากเข้าไปเป็นมือที่สาม…นั่งรถมาทำงาน ก็สองชั่วโมงครึ่ง
กลับอีกสองชั่วโมงสี่สิบนาที กลับถึงบ้าน หมดสิ้นกำลัง ขอนอนเอาแรงก่อน.........

ขณะที่งีบหลับอย่างสนิท ภาพในความฝันที่เธอเห็นคือ สถาบันการศึกษาที่เธอจบมา…
แหล่งที่มีเพศตรงข้ามชุกชุม เธอหวนรำลึกนึกถึงผู้ชายดีๆ ที่เขาเคยอุตส่าห์มาเฝ้าตามจีบ ตามง้อตามตื้อ
แล้วเราเล่นตัวจนเคยตัว ในที่สุดผลประโยชน์ตกอยู่ที่เพื่อนสนิท เป็นที่เรียบร้อย…
แหม ! ไม่น่าเลย ยิ่งคิดยิ่งเสียดายจริงจริ๊ง…ตื่นพอดี เจอโลกแห่งความจริง

ดำเนินชีวิตไปแต่ละวัน ยิ่งเข้าหน้าหนาว ซองสีชมพูกลิ่นหอมๆ จากเพื่อนๆ
เริ่มทยอยมา ตามหลังซอง กฐินซองผ้าป่าที่เพิ่งหมดฤดูกาล… พอไปในงาน ดันเจอคำถามสะกิดใจอีกว่า
'เมื่อไรจะถึงคิวแจกการ์ดของตัวบ้างล่ะ'...
'โถ! การ์ดแต่งงานน่ะพิมพ์เสร็จแล้ว เหลือแต่ชื่อเจ้าบ่าวที่ยังไม่ได้เลือกว่าจะเป็นใคร
เพราะครั้งนี้เขาเปลี่ยนระบบเลือกตั้งใหม่ ยังงงๆ เรื่องปาร์ตี้ลิสต์อยู่เลย'
เอ๊ะ…เกี่ยวอะไรกัน!…ในใจก็คิดว่า 'ก็ฉันอยู่เป็นโสดนี่มันไม่ดียังไง หนักกระบาลใครรึเปล่า'

เคยตั้งคำถามกันไหม…ว่าทำไมต้องแต่งงาน (กันด้วย!)…
คำตอบจากเพื่อนๆ ที่แต่งงานแล้วหรืออยากจะแต่งงานอาจมีหลากหลาย…
'อยู่คนเดียวมันว้าเหว่ อยากมีใครสักคนไว้แก้เหงา ' …
รายนี้เห็นผู้ชาย เป็นตัวคลายเหงา
'รายได้ไม่พอใช้ หาคนช่วย (หาเงิน) ' …
ผมกลัวมาช่วยผลาญเงินมากกว่า
'อยากมีลูก ก็ต้องหาพ่อก่อนสิ '…
เกิดได้ลูกแล้วจะทิ้งพ่อรึเปล่าเนี่ยะ
'โรงงานพร้อมแล้ว ขาดผู้ประกอบการ'…
เจ้าของคำตอบกำลังหาผู้ร่วมลงทุนฯลฯ

อันว่า ' ชีวิตคู่ ' อยู่ไปเพื่อสิ่งใด ?
ชีวิตคู่ คือ การเติมเต็มซึ่งกันและกัน
ดังนั้นเมื่อมีชีวิตสมรสแล้ว
ครึ่งหนึ่งของ ชีวิตเราจะหายไป

ในส่วนที่ขาดจะมีครึ่งชีวิตของอีกฝ่ายมาเติมแต่งแห่งพื้นที่ว่างนั้น
ขณะที่ครึ่งชีวิตของเราที่หาย ก็มิได้สูญสลายไปไหน
มันก็ไปเติมที่ว่างของคู่เรานั่นเอง

จุดมุ่งหมายของ! การแต่งงานคือ
การใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุขมากขึ้นและมีชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อเป็นสามีภรรยาแล้วต้องมีความสุขมากกว่าตอนอยู่คนเดียว
ถ้าตอนอยู่ด้วยกันแล้ว มีแต่ความทุกข์ ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน
ก็ไม่รู้ว่า จะแต่งงานไปหาพระแสงดาบคาบค่ายที่ไหน… อยู่คนเดียวมันส์กว่า

ชีวิตคู่ต้องเกื้อกูลกันและกัน ความก้าวหน้าของสามี ภรรยาต้องมีส่วน
อย่างน้อยก็ปลอบใจในยามที่สามีเครียดจากการงาน
ชีวิตภรรยาถ้าไม่คิดเอาดี ในทางโลกก็เจริญในทา งธรรม
กำลังใจต้องได้จากสามีเช่นกัน อย่างน้อยก็อย่าหาทุกข์มาสุมเพิ่ม…
ถ้าคู่รักของเราประกอบมิจฉาอาชีวะ ติดเหล้า เล่นการพนัน โกงบ้านกินเมือง
ชีวิตอีกฝ่ายก็เหมือนตก นรกทั้งเป็น

เพราะฉะนั้นเวลาเลือกแฟน แทนที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องรูปร่างหน้าตา
ฐานะการเงิน ยี่ห้อรถเก๋งที่ใช้อยู่ ฯลฯ
เปลี่ยนเป็นเงื่อนไขแค่สองข้อที่จำแสนง่าย คือ
หนึ่ง - สุขใจยามอยู่ใกล้ชิด
สอง - คู่ช่วยคิดชีวิตก้าวหน้า
เพราะชีวิตคู่คือการเติมเต็มชีวิตแก่กันและกัน
หาใช่เป้าหมายเพื่อการเสริม เพิ่มความเสียว เพราะอยู่คนเดียวก็เสียวได้ ไม่ง้อใครให้เสียเวลา
ไม่เสียชาติเกิดหรอกครับ ถ้าคุณจะใช้ชีวิตเป็นโสด
ถือคติประจำใจว่า 'อยู่เป็นโสด ดีกว่ามีผัวเลว

ขอขอบคุณบทความโดย นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล / ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

สมุนไพรรักษาเบาหวาน

สูตรยาสมุนไพรแก้โรคเบาหวาน

สวัสดีครับทุกคน ตอนนี้ผมขอนำสูตรยาสมุนไพรดีๆ มาบอกครับ
โรคเบาหวานเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุและวัยกลางคน ซึ่งมีสาเหตุมาจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลที่รับประทานเข้าไปได้หมดจึงทำให้น้ำตาลคั่งอยู่ในเลือด ถ้ามีน้ำตาลในเลือดมากจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ วิธีรักษาที่ดีที่สุดคือการรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายไม่ให้สูงขึ้น รวมทั้งการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้อง งดอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ตรวจร่างกายเป็นประจำเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดจากโรคเบาหวาน


ทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยจากโรคเบาหวาน


- ทานอาหารที่เป็นประโยชน์
การ เลือกรับประทานอาหารคนไทยในสมัยนี้มักจะถือค่านิยมของวัฒนธรรมตะวันตก เน้นการรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ซึ่งมีระดับไขมันสูง รับประทานผัก น้อยลงทั้งที่ผักนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรามาก มีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่ช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ได้แก่


มะระ ส่วนใหญ่จะใช้มะระขี้นก โดยใช้ผลดิบแก่ที่ยังไม่สุก และยอดอ่อน ใช้เนื้อรับประทานเป็นผักจิ้ม ผลของมะระนำมาลวกรับประทานกับน้ำพริก ส่วนผลมะระจีน ใช้ประกอบอาหาร เช่นแกงจืด ผัด


สรรพคุณทางยา
ตามตำรายาไทย เป็นยารสขม ช่วยเจริญอาหาร น้ำคั้นจากผลช่วยแก้ไข้ และใช้อมแก้ปากเปื่อย ผลของมะระจีนที่โตเต็มที่แล้วนำมาหั่นตากแห้งชงกับน้ำร้อน ใช้ดื่มแทนน้ำชา แก้โรคเบาหวาน ใบสดของมะระขี้นกหั่นชงกับน้ำร้อนใช้ถ่ายพยาธิเข็มหมุดและนอกจากนั้นในผลและใบของมะระยังมีสารที่มีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด ได้แก่ พี-อินซูลิน (p-insulin) ซึ่งเป็นสารโปรตีน และคาแรนติน(charantin) ซึ่งเป็นสารผสมของสเตียรอยด์ กลัยโคไซด์ 2 ชนิด

 
ตำลึง ตำลึงเป็นผักพื้นบ้าน ที่มีคุณค่าทางด้านอาหารสูง :ประกอบด้วยวิตามิน 10 แร่ธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินอื่น ๆ อีกมาก ยอดตำลึงใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่นแกงจืด ผัดผัก ลวกจิ้ม น้ำพริก แกงเลียง ใส่ก๋วยเตี๋ยว นอกจากจะมีประโยชน์และคุณค่าทางอาหารสูง ในตำลึงยังพบกรดอะมิโน หลายชนิดในผลตำลึงพบสารคิวเดอร์ บิตาขึ้น –บี (cucurbitacinB)


สรรพคุณทางยา
ใบและเถาตำลึงมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้ โดยมีการทดลองใช้น้ำคั้นจากใบและเถาตำลึง น้ำคั้นจากผลดิบ และสารสกัดจากเถาตำลึงด้วยแอลกอฮอล์ พบว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้


เตยหอม ใบเตยมีสีเขียว น้ำคั้นจากใบเตย มีกลิ่นหอมนำมาใช้แต่งสีขนม แต่งกลิ่นอาหาร นอกจากนี้ยังนิยมนำมาเป็นเครื่องดื่ม น้ำที่ได้จากใบเตยมีสารสำคัญหลายชนิด เช่น ไลนาลิลอะซีเตท (Linalyl acetate),เบนซิลอะซีเตท (benzyl acetate), ไลนาโลออล(Linalool), และเจอรานิออล (geraniol) และมีสารหอมคูมาริน(Coumarin) และเอททิลวานิลลิน(ethyl vanilin)


สรรพคุณทางยา
ในตำรายาไทย ใช้ใบเตยสดเป็นยาบำรุงหัวใจ ให้ชุมชื่นช่วยลดอาการกระหายน้ำ รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาเบาหวาน น้ำต้มรากเตยสามารถลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้ ตรวจร่างกายเป็นประจำ และรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ป้องกันภาวะแทรกซ้อน - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดูแลรักษาร่างกาย ระมัดระวังไม่ให้เกิดแผล เพราะจะทำให้แผลหายช้า สำหรับท่านที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวานก็ควรปฏิบัติตัวตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น จะเป็นการป้องโรคได้ดีที่สุด


ข้อมูลจาก กระทรวงสาธารณสุข


สูตรยาที่สอง ที่ได้รับการการยืนยันว่าได้ผลจริงที่คือ


1. นำใบเตย 24 ใบ มาซอยเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดซัก 2-3 แดดให้แห้งสนิท ไม่มีความชื้น


2. นำใบสัก 7 ใบ ที่ยังอยู่บนต้นสัก ไม่ตกลงพื้น มาตากแดดซัก 2-3 แดดจนแห้ง ซึ่งจะกรอบ และทำให้เป็นชิ้นเล็กๆ


3. นำใบเตย และใบสักที่แห้งสนิท ตามสัดส่วนมาผสมให้เข้ากัน เก็บในภาชนะปิดสนิท เช่นขวดกาแฟ เป็นต้น


4. นำใส่แก้ว เติมน้ำร้อน หรือใส่กาน้ำชา ดื่มคล้ายน้ำชา เริ่มจากวันละ 1 แก้ว ช่วงไหนของวันก็ได้ จนเป็น 3 แก้วต่อวัน


5. คอยสังเกตุ ติดตามผลการตรวจวัดน้ำตาล จากโรงพยาบาล ว่าค่าน้ำตาลลดลงหรือไม่ เพราะถ้าน้ำตาลลดลงจนอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว ให้หยุดดื่มน้ำชาสูตรพิเศษนี้ทันที เพราะถ้าดื่มต่อ อาจทำให้ค่าน้ำตาลต่ำ ซึ่งก็ไม่ดีอีก


6. จากนั้นคอยติดตามผลการวัดค่าน้ำตาลจากทางโรงพยาบาลต่อ ถ้าค่าน้ำตาลขึ้นอีก ก็เริ่มดื่มน้ำชาสูตรนี้ใหม่อีกครั้ง อดทนปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นานๆ เข้าก็จะสามารถหายจากโรคเบาหวานได้


7. ข้อควรระวังคือ ถ้าผู้ป่วยที่ดื่มน้ำชาสูตรพิเศษนี้ มีอาการ " ปัสสาวะขัด " แสดงว่าไม่ถูกกันให้หยุดดื่มทันทีครับ หรือถ้าเกิดสิ่งผิดปกติอื่นใดที่สังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน ก็ควรหยุดเช่นกัน สุดท้ายถ้าดื่มแล้วไม่สบายใจ ผมก็แนะนำให้หยุดเช่นกัน




ต้องขอบคุณ  คุณ ปรีดา ลิ้มนนทกุล  ที่บอกเล่าจากประสปการณ์อาม้าโดยตรง

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

วิธีเก็บรักษาอาหารในตู้เย็นให้ได้คุณค่าสูง







       หากเราเป็นคนที่นิยมซื้ออาหารสดประเภทผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ รวมทั้งอาหารอื่นๆ เช่นนมและผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ รวมถึงเครื่องดื่มชนิดต่างๆ มาเก็บไว้ในตู้เย็นคราวละมากๆ ก็ควรเลือกเก็บอาหารเหล่านี้ในช่องที่มีอุณหภูมิเหมาะสมกับอาหารประเภทนั้นๆ และควรจะเก็บไว้ในระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อช่วยรักษาอาหารให้สดใหม่ไม่เน่าเสีย อีกทั้งยังคงคุณค่าวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ไว้ได้ โดยมีวิธีง่ายๆตามนี้
    ผักสด และผลไม้ ล้างให้สะอาดและผึ่งให้สะเด็ดน้ำ นำผักหรือผลไม้ใ่ถุงพลาสติกใส เจาะรูเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และเก็บไว้ในช่องล่างสุดของตู้เย็น ซึ่งจะมีอุณหภูมิประมาณ 10 องศาเซลเซียส ไม่ควรแช่ผัก ผลไม้ไว้ในช่องที่มีอุณหภูมิต่ำกว่านี้ เพราะจำทำให้วิตามินและแร่ธาตุถูกทำลายได้ ผลไม้บางชนิดก็ไม่เหมาะจะแช่เย็น เช่นกล้่วยหอม และส้ม เพราะความเย็นจะทำให้เนื้อช้ำและรสชาดไม่อร่อย

    เนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่เน่าเสียได้เร็ว เพราะเมืองไทยมีอากาศร้อน เหมาะในการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นต้นเหตุของการเน่าเสีย เราควรเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในช่องด้านล่างของช่องแช่แข็ง ซึ่งจะมีอุณหภูมิประมาณ 0-2 องศาเซลเซียส หรือจะใส่ในบรรจุภัณฑ์ที่มีฝาปิดอย่างมิดชิด และแช่ไว้ในช่องแช่แข็ง ซึ่งจะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ซึ่งจะช่วยให้การเก็บอาหารประเภทนี้ได้ยาวนานขึ้น

    นมและผลิตภัณฑ์จากนม เหมาะที่จะเก็บไว้ที่อุณหภูมิประมาณ 5 องศาเซลเซียส ซึ่งก็คือบริเวณส่วนกลางของตู้เย็น บริเวณส่วนกลางของตู้เย็นยังเหมาะสำหรับการเก็บอาหารทุกประเภท ที่มีคำแนะนำให้เก็บไว้ในที่เย็นหลังจากเปิดใช้แล้วอีกด้วย

    เครื่องดื่ม เหมาะสำหรับเก็บที่อุณหภูมิประมาณ 10-15 องศาเซลเซียส ซึ่งได้แก่ชั้นบริเวณประตูของตู้เย็น

    ไข่ ควรเก็บไว้ในช่องเก็บไข่ซึ่งอยู่ด้านบนสุดของชั้นประตูตู้เย็น


       สำหรับระยะเวลาในการจัดเก็บอาหารที่เหมาะสม หาก เป็นผักและผลไม้่เก็บได้ 1-3 วัน เนื้อสัตว์ในช่องแช่แข็งเก็บได้นาน 2-3 สัปดาห์ ไข่อยู่ได้ประมาณ 3 สัปดาห์นับจากวันผลิต นอกจากนี้เรายังควรหมั่นสำรวจวันหมดอายุของอาหารที่เก็บไว้ในตู้เย็น และไม่ควรเก็บอาหารไว้มากเกินไป จนการถ่ายเทอากาศในตู้เย็นเป็นไปอย่างลำบาก ข้อสำคัญอีกอย่างก็คืออย่างวางอาหารปรุงสุกแล้วและอาหารที่ยังไม่ได้ปรุงไว้ด้วยกัน เพื่อไม่ให้แบคทีเรียปนเปื้อนมายังอาหารที่ปรุงสุกแล้ว
ที่มา ... ศูนย์ผู้บริโภค CPF
Credit Kapook.com

เหตุผลที่ทุกคนควรมีประกัน


 



          "ประกัน" ก็เหมือน "ร่ม" ยามที่ไร้พายุฝนคนเรามักจะคิดว่าร่มเป็นภาระ เกะกะ ไม่คล่องตัว แต่เมื่อไหร่ที่ฝนตกขึ้นมา เราจะนึกทันทีว่าโชคดีนะที่หยิบร่มติดมาด้วย วันนี้คุณอาจจะคิดว่าการทำประกันช่างเป็นภาระทางการเงินเหลือเกิน นั่นทำให้ทุกวันนี้คนไทยทำประกันกันน้อยมาก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เกิดอุบัติเหตุชีวิตขึ้นกับคุณ การมีประกันกับการไม่มีประกันจะทำให้คุณรู้สึกแตกต่างกันทันที จึงจะพาไปดูว่ามีประกันประเภทไหนบ้างที่เราควรจะมีไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต

          อาจจะมีหลากหลายเหตุผลด้วยกันที่ทำให้ทุกวันนี้คนไทยยังมีอัตราการทำประกันไม่มากนัก ทั้งที่รอบตัวเราเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ แต่ปัญหาที่พบกันอยู่บ่อยๆ คือการขาดความเข้าใจในพื้นฐานของการทำประกันชีวิตอย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อเข้าใจอย่างคลุมเครือก็ทำให้ถูกตัวแทนประกันที่พูดเก่งกล่อมจนคล้อยตามให้ซื้อประกันในแบบและวงเงินที่อาจจะไม่เหมาะหรือตรงต่อความต้องการที่แท้จริงของผู้ที่ต้องการทำประกัน จึงมีคำแนะนำจาก "พจนี คงคาลัย" คอลัมน์นิสต์ที่เชี่ยวชาญด้านประกัน จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่าประกันประเภทไหนบ้างที่คุณควรจะมี
ประกันชีวิต 
          รอบตัวนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง พจนีแนะว่าคุณน่าจะให้ความสำคัญกับการทำประกันชีวิตมากเข้าไว้ เพราะการทำประกันชีวิตก็คือการวางแผนป้องกันความเสี่ยงภัยด้านรายได้ในอนาคตข้างหน้า ที่ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าเพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน จริงอยู่วันนี้คุณอาจจะยังมีหน้าที่การงาน มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะทำมาหากิน มีรายได้ที่เลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่วันข้างหน้าอาจจะเกิดอุบัติเหตุชีวิตขึ้นกับคุณ การทำประกันชีวิตจึงช่วยรับมือกับเรื่องร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ข้อสำคัญช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้

          ก่อนจะตัดสินใจทำประกันชีวิต พจนีแนะว่า ควรดูให้ถ้วนถี่ก่อนว่าประกันชีวิตแบบไหนที่เหมาะกับคุณ เช่นถ้าคุณเป็นพวกที่ "อยากได้ความคุ้มครองสูง แต่มีความสามารถในการชำระเบี้ยต่ำ" ประมาณว่ารายได้น้อยแต่ภาระเยอะ และมีคนข้างหลังที่ต้องรับผิดชอบอีกหลายชีวิต การทำประกันชีวิตแบบมีกำหนดระยะเวลา ที่ให้ความคุ้มครองชั่วระยะเวลา จึงเหมาะกับคุณ จริงอยู่คุณอาจจะส่งเบี้ยน้อยแต่ได้รับความคุ้มครองสูง แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณเกิดอายุยืนกว่าที่คิด ไม่เสียชีวิตภายในกำหนดระยะเวลาที่เอาประกัน คุณก็จะไม่ได้อะไรเลย เท่ากับว่าเสียเงินจ่ายค่าเบี้ยประกันฟรี

          แต่สมมติว่าถ้าจ่ายเบี้ยเดือนละ 300 บาท ไปได้แค่ปีเดียวหรือคิดเป็นเงินที่จ่ายไปแล้ว 3,600 บาท แล้วคุณเกิดเสียชีวิตกะทันหัน บริษัทประกันก็ต้องจ่าย 250,000 บาท ให้คุณ ทั้งที่เพิ่งจ่ายเงินไปไม่เท่าไหร่

          หรือถ้าคุณเป็นพวกที่ "อยากได้ทั้งความคุ้มครองและออมเงินไปด้วย" เพราะไม่แน่ใจว่าพอแก่ตัวไปแล้ว จะมีลูกหลานมาคอยเลี้ยงดูเราหรือเปล่า ถ้าโจทย์ของคุณเป็นแบบนี้ การทำประกันแบบตลอดชีพ ก็น่าจะเหมาะกับคุณ การทำประกันแบบนี้ เป็นแบบที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ โดยมากระยะเวลาในการชำระเบี้ย มีตั้งแต่ 15 ปีไปจนถึง 30 ปี แบบนี้นี่แหละที่ให้ทั้งความคุ้มครองและออมเงินไปในตัว วิธีนี้จะดีในแง่ที่คุณสามารถขอเวนคืนกรมธรรม์ได้

          ซึ่งก็จะได้เงินสดมาจำนวนหนึ่งไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ ซึ่งตอนทำจะมีการระบุชื่อคนรับประโยชน์ให้กับลูกหลานแต่ละคน แต่คนรับประโยชน์จะได้รับก็ต่อเมื่อเราลาโลกไปซะก่อน โดยมากคนที่เลือกทำประกันแบบนี้ก็อาจพิจารณาแล้วว่าแนวโน้มคุณดูท่าจะมีอายุยืนยาวแต่กลัวไม่มีใครเลี้ยงตอนแก่ และก็มีนักธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่นิยมทำประกันแบบตลอดชีวิตเพื่อคุ้มครองธุรกิจ และเผื่อยามเกิดความพลาดพลั้งในชีวิตก็จะได้มีเงินประกันมาหนุนหลังครอบครัวให้ทำธุรกิจต่อไปได้

          แต่สำหรับใครที่อยากออมเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูก ออมเพื่อไว้ใช้จ่ายยามเกษียณ หรือคิดง่ายๆ แค่อยากมีเงินออมซักก้อนในชีวิต การทำประกันแบบสะสมทรัพย์ ดูท่าว่าจะเหมาะกับคุณที่สุด และด้วยความที่เงื่อนไขและลักษณะของการทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ใกล้เคียงกับการฝากเงินมาก ทำให้เป็นรูปแบบการทำประกันชีวิตที่ค่อนข้างได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ก็มีความต่างการฝากเงินตรงที่ระยะเวลา ผลตอบแทน เพราะจะคุ้มครองกรณีเสียชีวิต อีกทั้งเป็นการฝากเงินไว้กับบริษัทประกันไม่ได้ฝากไว้ในธนาคาร

ประกันสุขภาพ 
          ประกันสุขภาพเป็นอีกอย่างหนึ่งที่พจนีแนะว่าทุกคนควรมีไว้ แม้ทุกวันนี้บริษัทหลายแห่งจะมีสวัสดิการที่ดูแลค่ารักษาพยาบาลให้พนักงานไว้อยู่แล้ว แต่ก็อาจไม่เพียงพอที่รับมือกับภาระค่าใช้จ่ายที่มีโอกาสเกิดขึ้น ยิ่งคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปควรจะทำประกันสุขภาพ ซึ่งการทำประกันสุขภาพนั้นจะประกอบด้วยความคุ้มครองหลายอย่าง เช่น ค่ารักษาพยาบาลซึ่งเป็นหลักสำคัญที่ควรมีไว้ โดยค่ารักษาพยาบาลควรจะครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บและเกิดจากอุบัติเหตุ จะประกอบไปด้วย ค่าห้อง ค่ายา ค่าอาหาร ค่าเอกซเรย์ ค่าแล็บ ค่าห้องผ่าตัด ค่าผ่าตัด และค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉินกรณีอุบัติเหตุและเป็นคนไข้นอกที่ไม่ได้นอนโรงพยาบาล ซึ่งก็จะมีกำหนดวงเงินสูงสุดต่อครั้งเอาไว้

          นอกจากนี้ก็ควรมีค่าชดเชยรายวัน เป็นค่าเสียเวลาหรือค่าเสียโอกาสที่เราต้องสูญเสียไปในกรณีที่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล บริษัทจะจ่ายให้ตามจำนวนวันที่นอนรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเป็นจำนวนเงินตามลักษณะประกันที่เราซื้อไว้ แต่จะมีการกำหนดว่าจ่ายสูงสุดไม่เกินกี่วันซึ่งเงินส่วนนี้อาจนำมาจ่ายเป็นค่ารักษาส่วนเกินหรือเป็นเงินสำรองของเราได้ และอีกอย่างหนึ่งที่พจนีแนะนำว่าควรจะครอบคลุมก็คือ โรคร้ายแรง เป็นการคุ้มครองเพิ่มเติมในกรณีที่เป็นโรคมะเร็งหรือโรคร้ายแรง เช่น ตับแข็ง ถุงลมโป่งพอง ฯลฯ โดยจะได้รับการคุ้มครองในกรณีเสียชีวิตหรือได้รับค่ารักษาพยาบาล คนที่ซื้อประกันโรคมะเร็งก็มักจะเน้นผลประโยชน์ค่ารักษามากกว่าการสูญเสียชีวิต
          พจนี แนะนำว่าเวลาซื้อประกันสุขภาพไม่ควรซื้อค่ารักษาพยาบาลซ้ำซ้อน เพราะการเบิกจะใช้ใบเสร็จตัวจริงโดยไม่สามารถเบิกซ้ำได้ และควรทำประกันสุขภาพตั้งแต่ตอนที่สุขภาพแข็งแรงดี เพราะเมื่อกำลังจะเป็นหรือเป็นโรคใดโรคหนึ่งแล้วบริษัทประกันก็จะไม่รับหรือรับแต่ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นอยู่ อีกทั้งหากทำประกันตอนอายุมากค่าเบี้ยประกันก็จะแพงแถมโอกาสที่จะรับทำประกันก็น้อย แต่สำหรับใครที่บริษัทมีสวัสดิการให้ค่ารักษาพยาบาลดีอยู่แล้วอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อประกันสุขภาพก็ได้
ประกันบ้าน 

          เพราะบ้านเป็นทรัพย์สินชิ้นใหญ่ที่มีค่าและสำคัญมาก แต่ไม่ว่าเราจะมั่นใจแค่ไหนก็อาจจะถูกบุกรุกคุกคามได้หลายรูปแบบ เช่น อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดหวัง,ลมพายุ,อุบัติเหตุจากยานพาหนะ,อัคคีภัย เป็นต้น โดยประกันภัยบ้านบางประเภทไม่เพียงคุ้มครองบ้านเท่านั้นแต่ยังรวมถึงทรัพย์สินส่วนบุคคลด้วยซึ่งมีหลายระดับให้คุณได้เลือกใช้

          และพจนีได้แนะนำว่า "การทำประกันอัคคีภัยให้กับบ้านและทรัพย์สินของคุณเป็นสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกอุ่นใจและสามารถแก้ปัญหาให้คุณได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกับบ้านของคุณ เบี้ยประกันอัคคีภัยบ้านที่บริษัทประกันทั้งหลายจะคิดกับคุณนับเป็นจำนวนเงินที่น้อยมากเมื่อเทียบกับราคาบ้านของคุณทั้งหลัง"
ประกันรถยนต์ 

          สำหรับผู้ที่มีรถยนต์เป็นสมบัติส่วนตัวนั้นควรจะมีไว้ เพราะจะทำให้คุณอุ่นใจได้ว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุประกันก็จะช่วยคลี่คลายเรื่องยุ่งยากไปได้ระดับหนึ่ง โดยการเลือกบริษัทสำหรับการประกันรถยนต์นั้นประการแรกน่าจะดูที่การให้บริการ เพราะมีหลายกรณีที่เจ้าของรถอยากจะซ่อมให้ดีที่สุด ขณะที่ฝ่ายบริษัทประกันก็อยากจะจ่ายให้ถูกที่สุด ฉะนั้นก่อนเลือกบริษัทประกันจึงควรหาข้อมูลเกี่ยวกับการให้บริการของบริษัทนั้นให้ละเอียด หรือสอบถามผู้ที่มีประสบการณ์การทำประกันกับบริษัทนั้นๆ มาก่อนก็ได้

ประกันอุบัติเหตุ 

          ประกันอุบัติเหตุเป็นอีกอย่างหนึ่งที่พจนีแนะว่าควรจะมี เพราะในกรณีที่คุณเกิดอุบัติเหตุ ประกันจะให้ความคุ้มครองกรณีสูญเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือจ่ายค่าชดเชยจากอุบัติเหตุ ซึ่งในส่วนของค่าชดเชยกรณีเกิดอุบัติเหตุนั้นต้องเลือกที่ดีและสูงๆ เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุจะทำให้ผู้เอาประกันไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานตามปกติได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือตลอดไป ดังนั้นควรจะเลือกบริษัทที่จ่ายค่าชดเชยให้เป็นเปอร์เซ็นต์ของจำนวนวงเงินเอาประกัน โดยมีกำหนดระยะเวลาสูงสุด

          และนี่ก็คือ ประกันที่คุณควรมีติดตัวเอาไว้ ซึ่งข้อสำคัญสำหรับการทำประกันทุกประเภท คือ เมื่อตัดสินใจทำประกันต้องศึกษาข้อมูลให้ถ้วนถี่ และเลือกเงื่อนไขให้ตรงกับที่คุณต้องการมากที่สุด 

น้ำหนักเด็กใครคิดว่าไม่สำคัญ


การเจริญเติบโตของมนุษย์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ จากจุดเล็ก ๆ คือไข่ใบเดียว เมื่อมีการผสมกับตัวเชื้ออสุจิ ก็จะกลายเป็นชีวิตมนุษย์ ซึ่งจะค่อย ๆ เติบโต มีอวัยวะต่าง ๆ เช่น มีหัวใจ มีตา มีแขน ขา เป็นต้น และเมื่ออยู่ในครรภ์ได้ประมาณ 280 วัน มนุษย์ก็จะถูกคลอดจากครรภ์มาสู่โลกภายนอก จากนั้นชีวิตก็จะผ่านวัยต่าง ๆ คือ วัยทารก ซึ่งเป็นช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงอายุ 1 ปีเต็ม เด็กวัยก่อนเรียนอาจตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 5 ปีเต็ม เด็กวัยเรียนอายุ 6 ปี ถึง 14 ปี จากนั้นชีวิตก็จะผ่านไปสู่วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยชรา เป็นลำดับ จนในที่สุด เมื่อถึงวาระชีวิตก็จะดับสูญคือ ความตาย
ช่วงระยะตั้งแต่อยู่ในครรภ์ไปจนถึงวัยหนุ่มสาว ทุกชีวิตจะมีการเจริญเติบโตของร่างกายให้เห็นชัดเจนและในช่วงระยะหลังคลอด มนุษย์ทุกคนจะมีการพัฒนาความสามารถในด้านต่าง ๆ เช่น อุปนิสัย ,สติปัญญา,จิตใจ และความสามารถในการใช้อวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะมือและเท้า
เพื่อที่จะให้มนุษย์มีคุณภาพที่ดีนั้น การเจริญเติบโตทางร่างกายจึงเป็นสิทธิพื้นฐานที่ทุกชีวิตควรจะได้รับ เพื่อที่จะมีความพร้อมไปสู่การเรียนรู้ และพัฒนาการความสามารถอย่างมีประสิทธิภาพ


เครื่องชี้ที่ดีที่สุดที่ใช้วัดผลการเจริญเติบโตของร่างกาย คือ การชั่งน้ำหนัก แล้วเปรียบเทียบกับน้ำหนักมาตรฐานที่ได้มาจากน้ำหนักเด็กปกติ
ตัวอย่างเช่น เด็กแรกเกิดควรจะมีน้ำหนัก 3 กิโลกรัม
เมื่ออายุ 5 เดือน ควรจะมีน้ำหนักเป็น 6 กิโลกรัม (2 เท่าของแรกเกิด)
เมื่ออายุ 1 ปี ควรจะหนัก 9 กิโลกรัม( 3 เท่าของแรกเกิด)
และเมื่ออายุ 2 ปี ควรจะหนักเป็น 4 เท่าของแรกเกิด คือ 12 กิโลกรัม
ถ้าเด็กเติบโตด้านร่างกายเป็นปกติก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในลักษณะดังกล่าว เด็กบางคนที่เติบโตเป็นปกติเช่นกัน แต่อาจจะมีน้ำหนักผิดแผกไปจากเกณฑ์ดังกล่าวบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าเด็กมีสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วยบ่อย ๆ ก็ให้ถือได้ว่า การเจริญเติบโตยังใช้ได้อยู่  



การเจริญเติบโตทางด้านความยาวหรือความสูง ก็มีเกณฑ์มาตรฐานเช่นกัน เช่น
เด็กแรกเกิดจะยาวประมาณ 50 ซม. และจะยาวเป็น 75 ซม. เมื่ออายุ 1 ปี
เมื่ออายุ 2 ปี จะยาวประมาณ 8.5 ซม. และ
เมื่ออายุ 4 ปี จะสูงเป็น 100 ซม. หรือ 2 เท่าของแรกเกิด
เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูดี จะมีความสูงมากกว่ามาตรฐานดังกล่าว โดยเฉพาะเด็กที่ได้อาหารพวกไข่,นม, เนื้อสัตว์ และอาหารประเภทถั่วต่าง ๆ



เพื่อติดตามการเจริญเติบโตทางร่างกายของคน พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็ก ควรจะได้ทำความเข้าใจและสนใจในการชั่งน้ำหนักเด็กตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยหนุ่มสาว และอาจจะมีการชั่งน้ำหนักเป็นครั้งคราวในวัยกลางคนและวัยชราดัวย เพื่อจะได้ปัองกันไม่ให้เกิดโรคอ้วนหรือโรคผอม
ในการรณรงค์ในเรื่องการชั่งน้ำหนักเด็ก โดยเฉพาะวัยทารกและเด็กวัยก่อนเรียน กองโภชนาการ กรมอนามัย โดยความร่วมมือของกองทุนสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติ ได้พิมพ์แผ่นภาพการเจริญเติบโตในด้านน้ำหนักไว้ดังที่ได้แสดงประกอบไว้ในหน้า 36
เด็กที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ จะเติบโตตามแนวของเส้นที่อยู่บนสุด ซึ่งได้มาจากการเจริญเติบโตของเด็กที่เป็นปกติ เด็กหลายคนอาจจะเจริญเติบโตดีกว่านี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติดี แต่ถ้ามีน้ำหนักต่ำกว่านี้ ก็ให้พิจารณาว่า อาจจะเติบโตไม่ดีนัก


    
กราฟเส้นที่ 2 ของแผ่นภาพ เป็นระดับน้ำหนักต่ำสุดที่ยอมรับได้ว่า เด็กยังเป็นปกติอยู่
ถ้าน้ำหนักของเด็ก อยู่ระหว่างกราฟ เส้นที่ที่ 2 และ 3 จากข้างบน จะบ่งชี้ว่าเด็กคนนั้นกำลังผิดปกติ คือ มีการขาดอาหารระยะเริ่มแรก จนร่างกายเจริญเติบโตช้าลงกว่าปกติ
ยิ่งถ้าน้ำหนัก อยู่ระหว่างกราฟเส้นที่ 3 และ 4 จากข้างบนแล้ว ก็จะบ่งชี้ว่า เด็กคนนั้นกำลังอยู่ในระยะอันตรายของการขาดอาหาร เพราะขณะนี้เด็กมีการขาดอาหารขั้นปานกลางแล้ว และถ้าเด็กขาดอาหารมากขึ้นจนถึงขั้นรุนแรง ก็จะมีน้ำหนักตกต่ำกว่ากราฟเส้นล่างสุด ระยะนี้ถือว่าเป็นการขาดอาหารระยะรุนแรง ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาหรือเลี้ยงดูให้ดีขึ้น เด็กอาจจะเป็นอันตรายถึงตายได้


การชั่งน้ำหนักเด็กปกติและเด็กที่มีการขาดอาหารเป็นระยะ ๆ จะทำให้ทราบถึงการเจริญเติบโตของเด็กได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังทำให้ทราบถึงวิธีการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหา ตลอดจนถึงครอบครัวเด็กด้วย เพราะเด็กที่ขาดอาหารมักจะมาจากครอบครัวที่ยากจน คือ จนทั้งเงินทอง จนความรู้ และจนโอกาสที่จะได้รับบริการต่าง ๆ ด้วย เมื่อมีการช่วยเหลือเด็กและช่วยเหลือครอบครัวเด็กที่มีปัญหา เพื่อให้ช่วยตัวเองให้ได้ การติดตามดูน้ำหนักเด็กก็จะเป็นเครื่องชี้อย่างดีถึงผลสำเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการช่วยเหลือนั้น ๆ


ในเด็กวัยเรียน แนวความในการชั่งน้ำหนักเพื่อติดตามการเจริญเติบโตของเด็ก ควรจะได้นำมาใช้ เมื่อมีการชั่งน้ำหนักเด็กแล้ว ควรจะมีการแปลผลด้วยว่า เด็กเติบโตปกติหรือไม่ ไม่ควรสักแต่ชั่งน้ำหนักแล้วบันทึกไว้ โดยไม่มีการแปลผลแต่อย่างไร โดยทั่วไปแล้ว เด็กวัยเรียนจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 2 กิโลกรัม และมีความสูงเพิ่มปีละประมาณ 5 ซม. จนเมื่อใกล้จะเข้าวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว น้ำหนักจะเพิ่มปีละประมาณ 5-7 กิโลกรัม และความสูงก็จะเพิ่มปีละ 5-7 ซม.
เช่นกัน จนเป็นหนุ่มสาวเต็มที่ จากนั้นจะไม่สูงเพิ่ม แต่น้ำหนักอาจจะเพิ่มได้อีกเรื่องของการชั่งน้ำหนักและการวัดความสูง นอกจากจะเป็นเครื่องชี้ถึงการเจริญเติบโตของแต่ละคนแล้ว ยังอาจจะนำมาใช้เป็นเครื่องชี้ภาวะสังคมของชุมชนได้ด้วย เช่น ชุมชนใดที่มีการพัฒนาดี ทรัพยากรมนุษย์ก็จะดีถ้วนทั่วหน้ากัน กล่าวคือ เด็กทุกคนจะเติบโตเป็นปกติ ไม่มีปัญหาการขาดอาหาร ถ้าชุมชนใดที่มีปัญหาสังคมอยู่ แม้จะมีการพัฒนาทางด้านวัตถุไปมากมายก็ตาม ก็จะมีปัญหาการขาดอาหารอยู่


   


ประเทศไทย ได้มีความพยายามในการพัฒนาตนเองมาหลายสิบปี แต่ปัญหาการขาดอาหารยังมีอยู่มาก จากการชั่งน้ำหนักเด็กทารกและเด็กวัยก่อนเรียนทั้งประเทศ หนึ่งล้านคน พบว่าเด็กไทยยังมีการขาดอาหารในระดับต่าง ๆ ทั้งเริ่มแรก ปานกลาง และรุนแรง รวมกันถึงร้อยละ 40-60 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบมีปัญหามากที่สุด รองลงมา คือ ภาคเหนือ และภาคใต้ เป็นลำดับ ภาคกลางมีปัญหาน้อยแต่ก็ยังมีการขาดอาหารถึงร้อยละ 40


เพื่อเป็นการแก้ปัญหา ควรจะเริ่มที่ตัวเด็กแต่ละคน โดยที่พ่อแม่หรือผู้ปกครองพยายามเลี้ยงดูให้อาหารที่ถูกต้องเหมาะสมตามวัย เช่นให้ลูกกินนมแม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ให้อาหารเสริมที่เหมาะสมตามวัย
ระวังความสะอาดในการเตรียมและให้อาหารแก่เด็ก (อย่างน้อยควรล้างมือทุกครั้ง)
ป้องกันโรคติดเชื้อต่าง ๆ โดยการให้ภูมิคุ้มกันโรคที่ป้องกันได้
ให้ความรักความอบอุ่นแก่เด็ก
ฝึกเด็กให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม
สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญและจำเป็นในการที่จะทำให้เด็กเติบโตและพัฒนาความสามารถได้ดีเต็มที่

การชั่งน้ำหนักเป็นระยะ ๆ เพื่อติดตามการเติบโตทางร่างกาย จะเป็นวิธีที่ง่ายและเหมาะสมที่สุดในเด็กแต่ละคน และในเด็กของชุมชนต่าง ๆ ถ้าเด็กทุกคนมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติก็จะเป็นเครื่องชี้ที่ดีที่สุดถึงการพัฒนาการของคนในชุมชนนั้น ว่าเป็นไปได้อย่างดี เพราะความต้องการพื้นฐานของคนได้เริ่มพอเพียงแล้ว


เพื่ออนาคตของเด็กไทยและอนาคตของชาติ คนไทยทุกคนควรสนใจเรื่องการเติบโตและการพัฒนาการความสามารถของเด็กกันให้มากยิ่งขึ้น และจุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด คือ น้ำหนักตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องชี้ถึงการเจริญเติบโตของร่างกาย.
form :doctor.or.th

โรคติดเชื้อที่พบบ่อยในเด็ก




โรคติดเชื้อที่พบบ่อยในเด็ก

1 โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน:โรคคออักเสบ ไข้หวัด หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรืแบคทีเรีย เด็กอาจมีไข้นำมาก่อนถ้าเป็นจากเชื้อไวรัสมักมีน้ำมูกใสๆ2-3 วันอาการเด็กจะดีขึ้นแต่ถ้าเกดจากเชื้อแบคทีเรียน้ำมูกและเสมหะจะมีสีเหลืองหรือเขียว ถ้าดูแลลูก2-3วันแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพืเอตรวจร่างกายจะพบคอแดง โพรงจมูกแดงมีน้ำมูกข้น ระหว่างหูและจมูกจะมีท่อต่อถึงกันเรียกว่า ท่อยูสเตรเชี่ยน ท่อนี้ในเด็กจะอยู่ในแนวตรงมากกว่าผู้ใหญ่ เมื่อมีการติดเชื้อในโพรงจมูกเชื้อจะเดินทางติดต่อไปที่หูชั้นกลางทำให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบเด็กมักจะมีไข้ร่วมกับร้องเจ็บในหู เมื่อลูกเป็นหวัดกุมารแพทย์มักจะตรวจเยื่อแก้วหูดูด้วย ส่วนภาวะไซนัสอักเสบมักเกิดในเด็กที่เป็นภูมิแพ้หรือเป็นหวัดเรื้อรัง เด็กจะหายใจไม่สะดวก มีน้ำมูกข้นซึ่งอาจไม่ไหลออกมาข้างนอกแต่ไหลลงคอทำให้เด็กไอเหมือนมีเสมหะในคอ บางรายมีเลือดกำเดาไหล ปวดศีรษะได้
การรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจคือ ให้ยาลดไข้ ลดน้ำมูก ขับเสมหะ ถ้าเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียแพทย์จะให้กินยาปฏิชีวนะด้วย การติดเชื้อหูชั้นกลางอักเสบต้องกินยาปฏิชีวนะนาน 7-10วัน ไซนัสอักเสบ กินยานาน2-4 สัปดาห์แล้วแต่ความรุนแรงของโรค

2โรคติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนล่าง :กล่องเสียงอักเสบ เด็กจะมีไข้ไอร่วมกับเสียงแหบเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรืดแบคทีเรียบางชนิด ส่วนมากอาการไม่รุนแรงแต่มีบางคนที่ฝาปิดกล่องเสียงบวมมากจนปิดกั้นทางเดินหายเด็กจะหายใจเร็ว หายใจเสียงดัง ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ถ้าลูกมีอาการดังกล่าว หลอดลมอักเสบ คือการติดเชื้อลงไปที่หลอดลมเด็กจะไอ มีเสมหะมาก ควรพบแพทย์เพื่อรักษาบางรายอาจต้องให้แพทย์ดูดเสมหะให้ด้วย  ปอดอักเสบ(ปอดบวม)คือการติดเชื้อที่เนื้อปอด เด็กจะมีไข้สูง หายใจเร็ว มีเสมหะ ตรวจปอดได้ยินเสียงการอักเสบในเนื้อปอด ความรุนแรงของปอดอักเสบถ้าเป็นไม่มากให้รักษาที่บ้านได้ ถ้าเป็นมากต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลให้สารน้ำ ออกซิเจน และยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือด

3 โรคติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ: ระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบนโรคนี้เด็กจะมีไข้ ปัสสาวะสีเหลืองขุ่น ในเด็กเล็กที่มีไข้แต่ตรวจร่างกายไม่พบการติดเชื้อที่ไหน กุมารแพทย์จะส่งตรวจปัสสาวะเพื่อารวินิจฉัยโรคนี้ ตรวจปัสสาวะพบเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก อาจพบเม็ดเลือดแดงได้ แพทย์จะส่งปัสสาวะเพาะเชื้อโรคเพื่อหาสาเหตุและทราบถึงยาปฏิชีวนะที่ได้ผลดีต่อเชื้อโรคชนิดนั้น ถ้าเป็นโรคนี้เด็กต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อฉีดยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือด การตรวจเพิ่มเติม ในเด็กที่ติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ:ส่วนบนจำเป็นต้องตรวจอัลตาร์ซาวน์ไตและทางเดินปัสสาวะและนัดเด็กมาฉีดสีเข้าที่ท่อปัสสาวะเพื่อหาความผิดปกติเพราะอาจพบความผิดปกติของไตและทางเดินปัสสาวะร่วมด้วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อเนื่อง
ระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง(กระเพาะปัสสาวอักเสบ) เด็กมีอาการปัสสาวะบ่อย เจ็บบริเวณที่ปัสสาวะ ไม่มีไข้(ถ้ามีไข้ต้องรักษาแบบการติดเชื้อที่ ระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน ตรวจปัสสาวะพบเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติ อาจพบเม็ดเลือดแดงได้ภาวะนี้มักเกิดจากการกั้นปัสสาวะควรสอนให้เด็กไปห้องน้ำทุกครั้งที่ปวดปัสสาวะ

4 โรคติดเชื้อระบบประสาท : เยื่อหุ้มสมองอักเสบ: ฮิบ ,นิวโมคอคคัส(ไอ พี ดี),ซัลโมเนลล่า(ปนเปื้อนจากอาหาร และเปลือกส้ม ทำให้เด็กท้องเสียและเชื้อไปเยื่อหุ้มสมองได้)การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมองมักพบในเด็กอายุต่ำกว่า2 ปีเด็กจะมีอาการไข้สูง ร้องกวนซึม กระหม่อมหน้าตึง บางรายมีอาการชักได้ ดังนั้นในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปีถ้ามีไข้สูง ซึมลงควรพบแพทย์ทันทีเพื่อหาสาเหตุของไข้ เชื้อโรคฮิบติดต่อทางหายใจ(ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันแล้ว) เชือนิวโมคอคคัส(ไอ พี ดี มีวัคซีนแล้วเช่นกันแต่ราคายังค่อนข้างสูง) ส่วนเชื้อซัลโมเนลล่าป้องกันได้โดยผู้ดูแลเด็กต้องล้างมือให้สะอาด อาหารควรปรุงใหม่ ระวังเชื้อจากเปลือกส้ม การวินิจฉัยโรค ตรวจเชื้อจากน้ำไขสันหลัง การรักษา ให้ยาปฏิชีวนะ
 สมองอักเสบ: เชื้อแจเปนิส บี, เชื้อเริม,เชื้อวัณโรค

5โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัส DEN1 2 3 4 การติดเชื้อชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดนั้นตลอดชีวิตแต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อชนิดอื่น 1 ปี ดังนั้นในชีวิตหนึ่งจึงอาจติดเชื้อไข้เลือดออกได้หลายครั้งแต่เชื้อบางชนิดทำให้เกิดอาการได้รุนแรงบางชนิดไม่รุนแรง อาการของโรคไข้เลือดออกคือ มีไข้สูงลอยกินยาลดไข้ไม่ค่อยลง อ่อนเพลียเนื่องจากมีการเสียน้ำออกนอกเส้นเลือดตลอดเวลา ปวดท้อง มีจุดเลือดออกที่ผิวหนัง โรคนี้อันตรายเนื่องจากการติดเชื้อไข้เลือดออกทำให้เกิดลักษณะ2อย่างคือ1มีการเสียน้ำออกนอกเส้นเลือด การเสียน้ำจะมากที่สุดวันที่ไข้ลงถ้าไข้ลงแล้วลูกซึมลงต้องระวังว่าลูกจะเสียน้ำมากอาจช๊อกได้2 มีภาวะเกร็ดเลือดต่ำ เกร็ดเลือดช่วยให้เลือดแข็งตัวถ้าเกร็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่ายเช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ถ้ามีภาวะนี้อย่านิ่งนอนใจต้องรีบพบแพทย์  การวินิจฉัยโรค ประวัติมีไข้ ตรวจร่างกายมีจุดเลือดออกตามตัว รัดแขนด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตจะเห็นมีจุดเลือดออก ตรวจพบตับโต ตรวจเลือดพบว่าเลือดข้นขึ้นและเกร็ดเลือดต่ำลงผลเลือดจะตรวจพบหลังมีไข้วันที่3 ไปแล้ว ดังนั้นถ้าลูกมีไข้หลังกินยารักษาแล้วครบ3 วันไข้ยังสูงตลอดควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ  การรักษาโรคไข้เลือดออกคือการให้สารน้ำให้เพียงพอถ้าอาการไม่รุนแรงแพทย์อาจให้กลับบ้านให้น้ำเกลือแร่ไปกินถ้าไข้ลงเกิน24 ชั่วโมงแล้วเด็กอาการดีถือว่าพ้นภาวะวิกฤต  ในรายที่เป็นรุนแรงเสียน้ำมาก เกร็ดเลือดต่ำมากหรือมีภาวะเลือดออกต้องได้รับการดูแลในโรงพยาบาลเพื่อให้สารน้ำ เฝ้าระวังภาวะเลือดออก ควรหลีกเลี่ยงยาลดไข้กลุ่มแอสไพรินเพราะโรคแอสไพลินขัดขวางการทำงานของเกล็ดเลือดอาจส่งเสริมให้เลือดออกมากได้ ในเด็กโต วัยรุ่นและผู้ใหญ่ก็ติดเชื้อโรคไข้เลือดออกได้เหมือนกันถ้ามีไข้หลายวันและมีอาการน่าสงสัยควรพบแพทย์เพื่อตรวจเลือด การป้องกัน ยุงลายเป็นภาหะนำโรคออกหากินตอนกลางวัน ควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย เปลี่ยนน้ำรองขาตู้ ทุก7วัน อย่าให้มีแหล่งน้ำขัง อย่าให้ลูกโดนยุงกัด

6โรคมือเท้าปากเปื่อยโรคมือเท้าและปากเปื่อยมักเป็นในเด็กอายุตำกว่า 10 ปีพบบ่อยในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า5-6 ปีเกิดจากการติดเชือไวรัสชนิดหนึ่งเด็กจะมีไข้นำมาก่อน3-4วันต่อมาจะมีแผลในปากลักษณะเหมือนแผลร้อนในแต่มีหลายแผลทำใหเด็กเจ็บและไม่ยอมกินอาหาร ร่วมกับมีผื่นสีแดงที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า  บางรายมีผื่นแดงที่แขนขาได้ด้วย มักจะมีการระบาดในโรงเรียนอนุบาลหรือ เนริสเซอรี่ ติดต่อทางอุจจาระ น้ำมูก น้ำลาย ในเมืองไทยยังไม่พบความรุนแรงจากโรคนี้แต่ในประเทศสิงคโปร์เชื้อเป็นคนละสายพันธืมีอาการมือเท้าและปากเปื่อยเช่นกันแต่อาจมีอาการทางสมองและหัวใจได้ด้วยทำให้เด็กเสียชีวิตในเมืองไทยยังไม่เคยพบเด็กเสียชีวิตจากโรคนี้  ถ้ามีเด็กป่วยควรให้หยุดเรียนจนกว่าแผลและผื่นจะหายเพื่อไม่ให้ไปติดคนอื่น การรักษาโรคนี้เป็นการรักษาตามอาการคือ ลดไข้ ใช้ยาชาทาแผลในปาก ให้ยาแก้คัน มีเด็กบางรายแผลในปากมีมากเจ็บแผลกินไม่ได้ควรพบแพทย์เพื่อพิจารณาให้สารน้ำทางเส้นเลือด

7โรคแผลในปากจากเชื้อไวรัส[Herpangina]โรคนี้มักพบในเด็กเล็กต่ำกว่า2 ปี เด็กจะมีไข้สูง2-3 วันก่อนที่จะมีแผลในปาก ลักษณะแผลเหมือนแผลร้อนในจำนวนมากในปากเด็กจะเจ็บแผลกินได้น้อย การรักษาให้ยาลดไข้ ยาชาชนิดใช้ทาแผลในปาก แผลจะหายภายใน5 วัน บางรายแผลเป็นมากกินไม่ได้อาจต้องให้สารน้ำทางเส้นเลือด

โรคไหน ๆ ก็แพ้เกลือ

โรคไหนๆ ก็แพ้เกลือ 
เชื่อไหมว่าเรามียาดีประจำบ้านกันทุกคน ก็เกลือที่อยู่ในครัวนี่เอง...

1. ไอเพราะเป็นหวัด
แค่เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ ทีนี้ก็ไม่ต้องไอให้คนข้างๆ รำคาญแล้ว

2. มึนหัว สมองไม่แล่น
สาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้ปรู๊ดปร๊าด เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลงไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง

3. เร่งให้อาเจียน
ถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ

4. คัดจมูก
จะแค่คัดจมูกน้ำมูกไหล หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก็ตาม ให้ใช้น้ำเกลือเจือจางหยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก จะได้หยุดซี้ดซ้าดปาดน้ำมูกได้เสียที

5. คันตามผิวหนัง
ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์

6. โรคตาแดง
โรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเองก่อนถึงมือหมอได้ง่ายๆ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี) จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว ก็ล้างตาหลายๆ ครั้งด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาของคุณจะทุเลาลง

7. แผลยุงกัด
ถ้าใครถูกเจ้ายุงตัวร้ายมาขอบริจาคเลือดไป แถมยังทิ้งรอยแผลไว้เป็นที่ระลึก อย่ามัวแต่เกาให้เสียลุคส์สาวงาม รีบๆ ใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไป และรอยบวมก็จะยุบเร็วด้วย 

อาหารที่ไม่ควรกินตอนท้องว่าง

ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ

ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง
นมและนมถั่วเหลือง
แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

เหล้า
หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน

ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป

ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลงและเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ
ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย
เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม
เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก

การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน

เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี

อาหารที่ควรอยู่ในตู้เย็น

- น้ำเปล่า
"
น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ

-
ผัก
"
ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

-
ไข่ไก่
"
ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลาย ชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

-
นม
"
นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง

-
เนื้อปลา
"
เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

-
ผลไม้รสเปรี้ยว
ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

-
โยเกิร์ต
"
โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้น ๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด

-
แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม

-
ถั่ว
"
ถั่ว" ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล

-
ธัญพืช
"
ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาอาหารแต่ละชนิดมาติดไว้ในตู้เย็น เพื่อสุขภาพที่ดี

หาลูกค้าเรื่องง่ายๆ

การหาลูกค้าสำหรับตัวแทนใหม่นั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับตัวแทนรุ่นเก๋านั้น เป็นเรื่องง่ายเสมอ มาดูกันครับเทคนิคที่รุ่นพี่ทำกัน เป็นฝ่ายร...