วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความคิดสร้างสรรค์ ๒


Adam Grant ศาสตราจารย์จาก มหาวิทยาลัย Wharton ได้แบ่งปันข้อมูลที่สำคัญจากหนังสือเล่มใหม่ของเขา

ปัจจุบัน อะไรคือปัจจัยที่สำคัญหากต้องการประสบความสำเร็จ? แน่นอนว่า ไม่ใช่ความสามารถแบบเดียวกับหุ่นยนต์ เพราะสิ่งที่หุ่นยนต์ทำแทนมนุษย์ได้ เราคงไม่ต้องการให้มนุษย์ทำสิ่งนั้น ในเกือบทุกวงการ “ความคิดสร้างสรรค์” คือปัจจัยหลัก และอนาคตปัจจัยนี้จะยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณกำลังหาวิธีเพิ่มโอกาสความสำเร็จในอนาคตให้กับลูกๆ ของคุณ จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องโฟกัสใน “ความคิดสร้างสรรค์” ไม่ใช่แค่ความสำเร็จแบบผิวเผิน ถ้าคุณเห็นด้วยกับประโยคข้างต้น Adam Grant ศาสตราจารย์จาก มหาวิทยาลัย Wharton และผู้แต่งหนังสือ Originalsอยากจะบอกคุณว่า “ถึงเวลาหยุดเป็นพ่อแม่จอมเฮี๊ยบได้แล้ว (it’s time to rein in your Tiger Mom or helicopter dad tendencies)”

Adam Grant ได้กล่าวเตือนไว้ว่า “ความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ และถ้าคุณยังไม่หยุดบงการให้ลูกคุณประสบความสำเร็จ สิ่งที่คุณจะได้กลับมาแทนคือ หุ่นยนต์ที่มีความทะเยอทะยาน”

ถ้าคุณเริ่มเข้าใจกับประโยคข้างต้น คุณอาจจะยังสงสัยอยู่ว่า “แล้วการบังคับให้ลูกเรียนไวโอลิน และให้ตั้งใจเรียน ไม่ใช่คำตอบ แล้วอะไรคือคำตอบ?” การที่คุณอยากให้ลูกมี “ความคิดสร้างสรรค์” คุณแค่คิดว่ามันปูทางไปสู่ความสำเร็จในอนาคตของเขา หรือแค่คิดว่าเป็นสิ่งที่เด็กน่าจะสนุกกับมันกันแน่?

ลองดูคำแนะนำที่จับต้องได้ของ Adam Grant

1. ลดการใช้กฎ

“มีการศึกษา เปรียบเทียบครอบครัวของเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงสุดในโรงเรียน และครอบครัวของเด็กที่ไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์ ปรากฎว่า พ่อแม่ของเด็กทั่วๆ ไป จะมีกฎประจำบ้านเฉลี่ย 6 ข้อ เช่น ตารางสำหรับการทำการบ้าน เวลาที่ต้องเข้านอน ส่วนพ่อแม่ของเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์สร้าง มีกฎประจำบ้านเฉลี่ยไม่เกิน 1 ข้อ”
Adam ขยายความว่า “ถ้าคุณสอนให้เด็กทำตามกฎ มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่า เมื่อถึงเวลาที่เด็กต้องแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง เขาจะเริ่มจากดูว่าปัญหานี้ถูกแก้ไว้อย่างไร และหาวิธีที่สะดวกที่สุด” แทนที่เด็กจะบอกว่า “ไหนดูสิ ฉันจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ยังมีวิธีอื่นอีกมั๊ย ที่ยังไม่เคยมีใครลองบ้าง”


2. ชมลูกให้ถูกวิธี

คุณอาจจะเคยได้ยินว่า พ่อแม่ควรจะชื่นชมความพยายามของเด็ก แทนการชมว่าฉลาด เพื่อฝึกให้เด็กมีความพยายาม (ซึ่งจริงๆแล้ว หลายคนตีความหมายของเรื่องนี้ผิดจากสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นไอเดียนี้) ถ้าคุณต้องการจะส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในตัวลูก คุณต้องให้ความระมัดระวังในการชมความสำเร็จที่เด็กๆ ได้ทำ
ชมลูกว่า “ลูกเป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์มาก” ดีกว่า “รูปนี้สร้างสรรค์ดี” Grant กล่าว “สิ่งที่เราต้องช่วยเด็กคือ ทำให้เด็กเข้าใจว่าพฤติกรรมใด เป็นพฤติกรรมที่แสดงความเป็นตัวตนของเขา เพื่อให้เขาเติบโตโดยไม่สูญเสียความคิดสร้างสรรค์นั้น”


3. สอนลูกด้วยเหตุด้วยผล

การอธิบายบางอย่างให้เด็กฟัง บางทีเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ถ้าคุณอยากให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ คุณควรเผื่อเวลาไว้สำหรับอธิบายเหตุผลต่างๆ ให้เด็กฟัง อ้างอิงจากการศึกษาชีวิตวัยเด็กของเหล่าฮีโร่ที่ช่วยเหลือคนในภัยพิบัติ และสถาปนิกที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงๆ Grant แนะนำพ่อแม่ว่า  “อย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้” ให้พยายามหาวิธีทำให้เด็กได้คิดเองว่า สิ่งที่เขาทำนั้นจะส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไรบ้าง”
อาจจะสงสัยว่า ความกล้าหาญอย่างเหลือเชื่อในตัวฮีโร่ (ที่ช่วยชีวิตผู้อื่น) มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่อง ความคิดสร้างสรรค์? ความรู้จักผิดชอบชั่วดี และ ความคิดสร้างสรรค์นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกัน Grant อธิบายว่า “การที่เด็กได้คลุคลีอยู่กับผู้ใหญ่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีแนวโน้มอย่างมากที่จะรู้จักเรื่องผิดชอบชั่วดี” เขาอธิบายต่อว่า “พ่อแม่มีส่วนในการอบรมสั่งสอนและแสดงตัวอย่างให้เด็กเข้าใจเรื่องคุณค่าของความดีงาม ปลูกฝังให้เด็กคิดมากขึ้นเรื่องผลกระทบที่มีต่อผู้อื่นจากสิ่งที่เขาทำ และในขณะเดียวกันพ่อแม่เองก็ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ภายใต้คุณค่าของความดีงามนั้น ”
ขอบคุณข้อมูลดีๆมีประโยชน์จาก inc.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หาลูกค้าเรื่องง่ายๆ

การหาลูกค้าสำหรับตัวแทนใหม่นั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับตัวแทนรุ่นเก๋านั้น เป็นเรื่องง่ายเสมอ มาดูกันครับเทคนิคที่รุ่นพี่ทำกัน เป็นฝ่ายร...