วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

เลี้ยงลูกให้ดีเป็นวัคซีนทางใจ

ปัจจุบันพ่อแม่จำนวนมากเลี้ยงลูกด้วยความรัก
แต่ไม่ได้ฝึกฝนให้เด็กมีภูมิต้านทานต่อความทุกข์
เพราะไม่เคยเปิดโอกาสให้ลูกเผชิญต่อปัญหา
ในระดับที่เหมาะสมต่อวัยวุฒิของเขา
เมื่อโตขึ้นจึงขาดทักษะในการจัดการกับ
ปัญหาของชีวิต
วัคซีนทางใจ ๓ ประการ ที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นในการเลี้ยงดูของพ่อแม่และการศึกษาจากครูอาจารย์ เป็นไปเพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมในการดำเนินชีวิต ได้แก่
๑. ความนับถือตนเอง
๒. วุฒิภาวะ
๓. การแสวงหาความสุขในชีวิต

ความนับถือตนเอง
ความนับถือตนเอง (self-esteem) คือการตระหนักรู้ในคุณค่าที่มีในตนเอง นำไปสู่ความภาคภูมิใจ
พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ ก็คือ ความรักในตนเองŽ รักตัวเองให้เป็น ก็ต้องเห็นตัวเองให้ชัด
วิธีการเลี้ยงลูกให้พัฒนาความนับถือตนเองมี ๓ ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
๑. รู้ศักยภาพของตนเอง ว่าเรามีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ เรียนวิชาไหนแล้วชอบหรือมีความสุข ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีลักษณะนิสัยหรือศักยภาพไม่เหมือนกัน การเลี้ยงดูหรือการศึกษาจึงต้องพัฒนาความสามารถให้ตรงกับตัวเด็กมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือหรือเลือกคณะวิชาไปตามกระแสค่านิยมของสังคม ซึ่งอาจไม่ตรงกับใจตัวเอง
๒. กำหนดจุดมุ่งหมายของชีวิต คุณสมบัติของจุดมุ่งหมายนั้นต้องมีคุณสมบัติ ๒ อย่างคือ
- มีความทัดเทียมกับศักยภาพของตนเอง ไม่สูงหรือต่ำเกินไป ถ้าสูงเกินไปก็เป็นฝันกลางวัน ถ้าต่ำเกินไปก็เป็นการดูถูกตัวเอง
- ต้องสามารถกำหนดเป็นมโนภาพ (visualization) ในใจว่าในอนาคตโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร บังเกิดเป็นแรงดลบันดาลใจและมีพลัง
๓. ขยัน มุมานะ พากเพียรพยายาม (effort) เพื่อเป็นพลังหรือแรงขับดันให้ชีวิตมุ่งมั่นสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ ตรงข้ามกับความขี้เกียจหรือรักสนุก ชอบสบาย (comfort)

การพัฒนาทั้ง ๓ ขั้นตอน จะนำไปสู่ความสำเร็จ เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความภูมิใจในตนเอง นำไปสู่สภาวะจิตที่ สูงส่ง และไม่ดึงชีวิตตัวเองไปสู่ความเสื่อม เช่น เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน ติดยาเสพติด มีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียน ฯลฯ
อุปสรรคอย่างหนึ่งของการพัฒนาความนับถือตนเอง คือระบบการศึกษาที่เน้นคนเรียนเก่ง เช่น สอบได้ที่ ๑ ถึงที่ ๓ หรืออย่างน้อยก็ต้องได้เลขตัวเดียว จึงจะเป็นที่ชื่นชมของพ่อแม่และครูอาจารย์
ในขณะที่นักเรียนอีก ๓๐-๔๐ คนที่เหลือในห้องก็ไม่สามารถเกิดความปีติสุขจากการเรียนรู้
ผลที่สุดคือ การรวมกลุ่มของเด็กที่ไม่ประสบความสำเร็จในการศึกษา จึงไปแสวงหาความสุขจากทางอื่น เช่น ขับรถซิ่งแข่งกัน มีเซ็กซ์เก็บแต้ม คุยโม้โอ้อวดเรื่องการใช้สินค้าแบรนด์เนม หาแฟนรวย ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความรู้สึกว่าตนยังมีคุณค่าอยู่ อย่างน้อยก็ได้รับการยกย่องจากสมาชิกใน "สังคมเล็กๆ"Ž ของตนเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าลูกเรียนหนังสือไม่เก่ง แทนที่จะถูกซ้ำเติมจากพ่อแม่ด้วยคำพูดในทางลบ ผู้ปกครองควรให้กำลังใจและมีความคิดในทางบวกต่อตนเอง เช่น

ถึงแม้ว่าลูกจะสอบได้คะแนนน้อย แต่ลูกยังมีความสามารถอีกหลายอย่างที่การสอบไม่ได้วัดผลŽ
ความสามารถอีกหลายอย่างนั้น ถ้าเขายังไม่เห็น พ่อแม่ต้องเห็นได้จากการสังเกต และเราจะสังเกตรู้ได้ว่าลูกมีศักยภาพอะไร ก็ต่อเมื่อเราได้มีเวลาใกล้ชิดและรับฟังสิ่งที่เขาเปิดเผย แทนที่จะคิดว่าลูกจะต้องรับฟังและเชื่อฟังเราฝ่ายเดียว
วุฒิภาวะ
วุฒิภาวะ (maturity) คือความสามารถในการยับยั้งชั่งใจหรือควบคุมอารมณ์ความต้องการของตนเอง
พูดภาษาวัยรุ่น วุฒิภาวะ แปลว่า ความสามารถที่สมองส่วนคิดทำงานมากกว่าสมองส่วนอยาก เพราะฉะนั้นต้องฝึกตอนที่สมองส่วนอยากทำงาน
๑. เมื่อลูกอยากได้อะไร ต้องพูดคุยกันว่าจำเป็นหรือไม่
ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ก็ต้องยอมรับว่าไม่ควรได้ ไม่ควรมี
๒. หากจำเป็นแต่มีข้อจำกัด ก็หาทางออกอย่างอื่นเพื่อตอบสนองเท่าที่ทำได้
ถ้าไม่มีเงินก็ไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้าของเสมอไป เราสามารถเช่าหรือใช้บริการจากแหล่งบริการมากมายที่มีในสาธารณะ
๓. ถ้าจำเป็นต้องมีต้องได้ ก็อย่าเพิ่งรีบซื้อให้ทันที
ต้องฝึกให้เด็กรู้จักการรอ (delay immediate gratification) หรือตั้งเงื่อนไขให้เป็นรางวัล ถือเป็นการฝึกวินัยในตนเอง (self discipline)

ถ้าหากลูกอยากได้อะไร แล้วพ่อแม่ตอบสนองหามาให้ในทันที เด็กจะไม่รู้จักเรียนรู้ที่จะรอ เขาจะเคยชินต่อการตอบสนองความต้องการของตนเอง ในที่สุดเมื่อเด็กควบคุมความต้องการของตนไม่ได้ แล้วจะคาดหวังให้เขายับยั้งชั่งใจในเรื่องทางเพศได้อย่างไร
พ่อ
แม่หลายคนปรนเปรอลูกด้วยวัตถุหรือการเสพสาเหตุ ๒ ประการที่พบบ่อย ได้แก่
-ไม่ต้องการให้ลูกเผชิญความผิดหวัง ซึ่งเคยเกิดกับตัวพ่อแม่ในวัยเด็ก อยากได้อะไรก็ไม่เคยได้
-ชดเชยความรู้สึกผิดที่เรามีเวลาใกล้ชิดเขาน้อยเกินไป จึงตอบแทนเด็กด้วยของเล่นหรือเงินทอง
ผู้ใหญ่จำเป็นต้องเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ไม่ถูกครอบงำด้วยกระแสบริโภคนิยมเสียก่อน ไม่ถูกชักจูงง่ายจากสื่อโฆษณา เด็กจึงจะ "เลียนและรู้"Ž     รูปแบบของการใช้ชีวิตที่ไม่เน้นการแสวงหาวัตถุเพื่อสร้างความสุขให้แก่จิตใจ

การแสวงหาความสุขในชีวิต
ความสุขมีรูปแบบที่หลากหลาย แบ่งเป็น ๔ ระดับ เรียกว่า"๔ ระดับของความสุข จากสนุกสู่สงบ"

๑. มีกิจกรรมสนุกสนานจากกิจกรรมบันเทิงได้รับความเอร็ดอร่อยจากการเสพทางตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง มักจำเป็นต้องซื้อหาด้วยเงิน หากไม่รู้จักควบคุมการเสพ ก็นำไปสู่ความทุกข์ร้อนเรื่องหนี้สิน
๒. การเสพสุนทรียภาพของงานศิลปะโดยไม่จำเป็นต้องซื้อหามาเป็นเจ้าของ แต่ชื่นชมจนนำไปสู่ความปีติ อิ่มเอิบ เบิกบาน และเกิดแรงดลบันดาลใจในชีวิต
๓. ความสงบสบายจากการใกล้ชิดธรรมชาติ
ท่ามกลางธรรมชาติ ย่อมโน้มนำใจให้ผ่อนคลายสดชื่น และเย็นใจ พร้อมความรู้สึกสำนึกในบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของ ธรรมชาติ จนมิอาจคิดถึงเรื่องการทำลายหรือความโลภ

๔. การดำเนินชีวิตอย่างพิจารณา
มีสติในกิจวัตรประจำวันและการทำงาน ในที่สุดเราจะบังเกิดความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต จนในที่สุดจิตของเราที่พัฒนาจนผ่อนคลายจากการยึดติดในสิ่งต่างๆ นำไปสู่การดำเนินชีวิตไม่เป็นทุกข์


ขอขอบคุณ หนังสือ หมอชาวบ้าน นพ.สุกมล วิภาวิพลกุล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หาลูกค้าเรื่องง่ายๆ

การหาลูกค้าสำหรับตัวแทนใหม่นั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับตัวแทนรุ่นเก๋านั้น เป็นเรื่องง่ายเสมอ มาดูกันครับเทคนิคที่รุ่นพี่ทำกัน เป็นฝ่ายร...